Search This Blog

Thursday, April 16, 2015

ภาพพิมพ์อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ by Hem Artist

https://www.facebook.com/ChalermchaiAP
ภาพพิมพ์ พญานาคเริงร่า พร้อมลายเซ็นสด ลิขสิทธิ์แท้ ขนาด 40.2 x 48 ซม. EMSจัดส่งโดยกระบอกซูมแข็งแรง ราคา 1000 บาท โทร 0871074900










Monday, March 2, 2015

วิธีไล่นกจากระเบียงหรือหลังคาบ้าน - How to chase birds out of balcony or roof

        วันนี้ผู้เขียนได้รับการขอความช่วยเหลือจากลูกบ้านที่พักอาศัยในตึกที่บริหารอยู่ ซึ่งลูกบ้านท่านนี้น่ารักมาก แต่กำลังประสบปัญหาการถูกคุกคามจากนก  ไม่ใช่นกพิราบนะคะ แต่เป็นอีกาเลยค่ะ พลพรรคอีกานั้น คุณลูกบ้านแจ้งว่ามีอยู่น่าจะไม่เกิน 6 ตัว ซึ่งมีพัฒนาการในการสร้างความก่อกวนแก่คุณลูกบ้านมาก ทั้งอึรดระเบียง บินมาเกาะ ล่าสุดคุณอีก่ามีความฮึกเหิมมากขึ้น ถึงขั้นเปิดระเบียงมาไล่คุณท่านๆทั้งหลายก็บินพรวดๆจะเข้าห้องกันเลยทีเดียว ซึ่งคุณลูกบ้านแม้จะได้รับความเดือดร้อนแต่ก็สงสารและไม่มีเจตนาจะฆ่านกแต่ได้ขอให้เราหาทางพามันออกไปจากอาคารนี้ หรือให้หาหน่วยงานที่จะมาจับเจ้าหมู่อีกานี้ไปซะ ก่อนที่พวกมันจะพัฒนากลายเป็นอีกาพญายมเต็มตัว ผู้เขียนเองก็เป็นคนรักสัตว์เช่นกันค่ะ และก็เห็นใจคุณลูกบ้านมาก ไหนจะสุขอนามัย ไหนจะรำคาญอีกา ไหนจะต้องขนพองสยองเกล้าเวลาที่พวกมันบินถลาเข้าห้อง ก็เลยรีบหาทางช่วยลูกบ้านด้วยการโทรไปถามสำนักงานเขตว่ามีหน่วยเฉพาะดูแลด้านนี้มั้ย ซึ่งได้รับคำตอบว่ายังไม่มีเราจึงเร่งหาข้อมูลจากเพื่อนๆและค้นหาจากอินเตอร์เน็ต จนได้เทคนิคการไล่นก วิธีไล่นก จากหลากหลายแหล่ง มีทั้งแบบพึ่งธรรมชาติ และแบบใช้เทคโนโลยี มาดูกันนะคะ ว่ามีวิธีการยังไงบ้าง บางวิธี พอทราบแล้วถึงกับฮา...แบบภูมิปัญญาชาวบ้านมาก ผู้เขียนรวบรวมจากแหล่งต่างๆดังนี้นะคะ 

มาดูวิธีไล่นกออกจากระเบียงบ้านหรือหลังคาบ้าน


วิธีไล่นก วิธีที่ 1 : เป็นวิธีของ คุณชัยวัฒน์ ลิมป์วรรณธะ วิธีการไล่นกแบบที่ไม่ทำร้ายนก เขานำเอาพลาสติกที่คนนิยมติดไฟประดับรถยนต์ ซึ่งทนแดดทนฝน แล้วนำเส้นลวดปลอดสนิมยาว 10 เซนติเมตร มาดัดพับครึ่ง แบบนี้ จากนั้น สอดเข้าในหลอดพลาสติก แล้วก็นำไปติดกาวไว้บนสันหลังคา เท่านี้เองค่ะ นกก็ไม่มีที่เกาะ ไม่ลงมาเกาะหลังคาถ่ายมูลให้รำคาญ คุณกฤศณัฎฐ์ ยังบอกอีกว่า ลงทุนเมตรละ 50 บาท ใช้ได้ 3 ถึง 5 ปีเลย
วิธีไล่นก วิธีที่ 2 : ชาวบ้านการขึงลวดเหนือคานเหล็กประมาณ 3 นิ้ว ที่นกพิราบหรือนกอื่นๆ เคยใช้เป็นที่เกาะหรือทำรังอยู่อาศัย จะทำให้นกพิราบไม่สามารถเกาะคานต่างๆ เหล่านั้นได้ หลักการดังกล่าวนี้นกชนิดต่างๆ ยังสามารถบินเข้าออกอาคารได้ แต่ไม่สามารถเกาะได้  นับได้ว่าเป็นวิธีการไล่นกให้ออกไปจากอาคารได้ในที่สุด นอกจากจะเป็นวิธีการไล่นกอย่างถาวรแล้ว  ยังเป็นวิธีการที่ไม่ต้องฆ่านกพิราบหรือนกอื่นๆ ด้วยค่ะ
วิธีที่ 3 :  ซื้อรูปปั้นนกอินทรีย์สีดำ และสีทองอย่างละตัว มาตั้งไว้บริเวณที่นกพิราบชอบมารบกวน เป็นวิธีง่ายๆ ที่บางบ้านก็ใช้ได้ผล แต่ก็มีบางบ้านใช้ไม่ได้ผลนะคะ ถ้าให้แนะนำควรเลือกใช้วิธีที่สองจะดีที่สุดค่ะ
P_20140725_184349_HDR
วิธีไล่นก วิธีที่ 4 ซื้อนกกระดาษมาแขวนนี่คือ ริมระเบียงคอนโดของแอดมินนะคะ ไม่อยู่ห้อง 7 วัน กลับมาเจอแบบนี้ .. กรี๊ดเลย .. รีบเข้าอินเตอร์เน็ตหาวิธีไล่นก ไม่อยากให้นกมาเกาะริมระเบียงห้อง บ้างก็ว่าใช้แผ่นซีดีแขวน หรือใช้ขวดน้ำดื่ม กรอกน้ำให้เต็ม วางไว้ริมระเบียง ฯลฯ แต่ก็ยังไม่ได้มีโอกาสลองค่ะ จนมีคนแนะนำว่าให้ลองไปซื้อรูปนกอินทรีย์มาแขวนไว้ (มีขายที่ diso) ก็เลยไปหาซื้อพร้อมกับซื้อรูปเจ้าแมวเหมียวมาแขวน และอีกอันเป็นเหมือนลูกเหม็นไล่นกค่ะ เหมือนเอากลิ่นมาไล่นก แต่ยังไงขอลองแบบนกและแมว แขวนหลอกนกดูก่อน
วิธีไล่นก ออกจากระเบียงบ้าน หรือหลังคาบ้าน มาดู วิธีไล่นก ออกจากระเบียงบ้าน หรือหลังคาบ้าน
P_20140727_152141
เจ้านกอินทรีย์จะช่วยให้นกไม่มาเกาะระเบียงได้ไหม และได้ผลยังไง เดี๋ยวมาอัพเดทค่ะ
/// อัพเดทนะคะ วิธีที่ 4 นี้ยังไม่ได้ผลค่ะ ///
วิธีไล่นก วิธีที่ 5 ซื้อโมบายกระดิ่ง มาแขวนให้มีเสียงดัง
ภาพจาก haaksquare.com
วิธีไล่นก วิธีที่ 5 ซื้อโมบายกระดิ่ง มาแขวนไว้ให้มีเสียงดัง
วิธีนี้ ได้ผลดีกว่าวิธีอื่นๆ ค่ะ วันแรกที่แขวนยังพอมีนกบินมาบ้าง แต่ผ่านไป 3 สัปดาห์ ไม่มีนกมาเกาะระเบียงแล้วค่ะ ซึ่งโมบายเหล่านี้เราใช้แขวน 3 ที่เลยค่ะ ให้เสียงดังๆ พอไล่นกได้ (หวังว่าคงไม่ทำความรำคาญทางหูให้กับเพื่อนบ้านด้วยนะ) แต่ต้องรอดูด้วยว่า ถ้าไม่อยู่ห้องนานๆ สัก 1 สัปดาห์ จะมีนกมาอึใส่ระเบียงหรือไม่ ไว้มาอัพเดทอีกแน่นอนค่ะ
วิธีไล่นก วิธีที่ 6 งูยางไล่นก
ออกข่าวช่อง 3 คุณป้าที่ใช้เทคนิคนี้บอกว่าหลังจากใช้งูยาง นกหายเงียบไปเลย 

วิธีไล่นก วิธีที่ 7 ใช้บริการบริษัทป้องกันและกำจัดนก 

ซึ่งทางผู้ให้บริการเค้าก็จะมีหลากหลายผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยี ตามตัวอย่างนะคะ 

เจลไล่นก ไล่นกพิราบ ไล่นกกระจอก bird gelเจลไล่นก ไล่นกพิราบ ไล่นกกระจอก bird gel


ระบบไฟฟ้าไล่นก ป้องกันนกพิราบ shock birdตาข่ายกันนก ตะแกรงกันนก ป้องกันนก anti  bird netting


                                เจลไล่นก                                                                   เครื่องไล่นกระบบไฟฟ้า

เจลไล่นก เจลป้องกันนกเครื่องไล่นก ระบบไฟฟ้าไล่นก ไฟฟ้าป้องกันนก



Anti-Bird Spike หนามกันนก แอนตี้ เบิร์ด สไปค์ หนามกันนกสแตนเลส          เครื่องไล่นก Sonic-Shock โซนิค-ซ๊อค

                                                                       ตาข่ายและตะแกรงกันนก
       
ตาข่ายกันนก ตาข่ายกั้นนก ตาข่ายป้องกันนก   Anti-Bird Netting


     หวังว่าข้อมูลที่รวบรวมมานี้จะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆให้ไล่นกไปได้บ้างนะคะ แล้วใครได้ผลยังไงหรือมีเทคนิคอื่นๆที่ดีกว่านี้ ก็อย่าลืมมาส่งข่าวกันบ้างนะคะ 

ที่มา: mthai.com
         youtube.com
         www. stop-bird.com



Thursday, February 26, 2015

รักตัวเองให้เป็น- Easy ways to love yourself

        
      ทำไมเรามักอยากได้รับความรัก ความเมตตา การดูแลจากคนอื่น แต่เรากลับไม่ยอมรักตัวเอง ดูได้จากการที่เรารีบเร่งเสมอในทุกๆเรื่อง เวลาและเรื่องของปากท้องบีบคั้นเราให้ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำจนoffice syndrome ถามหา เราต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ต้องห่วงใยดูแลลูกค้า บ่อยครั้งเราบอกกับตัวเองว่า ไม่เป็นไรน่า ทนอีกนิดเดียว เดี๋ยวค่อยทานข้าวก็ได้ เดี๋ยวค่อยไปออกกำลังกายก็ได้ บางคนหนักถึงขั้น ยอมกลั้นปัสสาวะอุจจาระเพื่อจะเร่งทำงาน หรือทำสิ่งต่างๆเพื่อคนอื่นๆก่อน


        จากชีวิตจริงของผู้เขียน การละเลยที่จะรักตัวเองก่อน นอกจากจะทำร้ายตัวเองทั้งด้านสุขภาพร่างกาย จิตใจ และโอกาสทางสังคมอื่นๆแล้ว สิ่งที่เราจะสูญเสียไปด้วยแบบที่เราคาดไม่ถึงเลยก็คือ การได้รับความเคารพจากผู้คนรอบข้าง จริงอยู่ที่ว่าการทำตัวเป็นคนใช้ชีวิตง่ายๆไม่เรื่องมากและห่วงตัวเองน้อยกว่าผู้อื่นนั้นดูจะเป็นนิสัยที่น่ารัก แต่ในระยะยาวแล้ว มันจะบั่นทอนความนับถือจากคนรอบข้างที่มีต่อเราลงไปด้วย การเป็นคนประเภทอะไรก็ได้ ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงมาตรฐานในการดำรงชีวิตที่ต่ำของเราและอาจนำมาซึ่งความรู้สึกว่าเราเป็นคนที่ปรึกษาหรือพึ่งพิงไม่ได้ในเรื่องที่เราละเลยเหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เขียนเองทำงานเป็นผู้บริหาร ยิ่งต้องรักตัวเอง เคารพตัวเองให้มาก ด้วยการใช้ชีวิตอย่างสมดุล มีความพอดี และจัดสรรเวลาอย่างลงตัว ดูแลตัวเองให้ดีที่สุด ดีจนเมื่อใครๆคิดถึงเรา ต้องให้เค้าเหล่านั้นนึกถึงเราทั้งในแง่มาตรฐานการใช้ชีวิตและมาตรฐานการทำงาน 


     มาดูกันนะคะว่า มีสัญญาณที่เพื่อนๆคาดไม่ถึงอะไรกันบ้างที่แสดงว่าเราเริ่มจะรักตัวเองน้อยเกินไปซะแล้ว
          1.   ไม่อาบน้ำตอนไปทำงาน และหลังกลับจากงาน
2.   ปล่อยตัว เสื้อผ้า หน้าผมไม่ดูแล (จนบางทีลูกค้าทำหน้างงๆว่าผู้เขียนเป็นผู้บริหารแน่หรือ)
3.   ดื่มน้ำน้อยจนบางครั้งอาการหนักถึงขนาดลืมดื่มน้ำทั้งวัน
4.  ทานอาหารไม่เป็นเวลา และมักทานอาหารเดิมๆซ้ำ เพราะเร่งรีบและคิดว่าอะไรกินก็ได้
5.  ยอมให้เพื่อนร่วมงานฉกฉวยเวลาอันมีค่าของเราด้วยการโยนงานให้เรา
6.  ยอมที่จะทำงานหามรุ่งหามค่ำ และแบกรับเกินหน้าที่ บางทีโต้รุ่ง
7.  ยอมสละเวลาพักกลางวัน พักร้อน วันหยุด เพื่อมาทำงานหรือ
8.  กลั้นอุจจาระ ปัสสาวะ เพราะมัวหมกมุ่นกับงาน
9.  ทานอาหารโดยที่สายตายังจับจ้องอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือกองงาน
10.ยอมให้เพื่อนร่วมงาน คนรอบข้างทำให้เราแอบขุ่นเคืองใจกับเรื่องเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยที่เราไม่ยอมจัดการ แต่ก็ต้องแอบคับข้องใจไม่หาย
11. รับสายลูกค้าทั้งที่ขับรถ ขึ้นมอเตอร์ไซค์รับจ้าง หรือข้ามถนนอยู่
12. การชำระหนี้ต่างๆ ค่าโทรศัพท์ล่าช้า จนเกิดค่าปรับเพราะมัวแต่ใส่ใจคนอื่น ใส่ใจงาน
13.เลือกที่ยุ่งกับงาน จนลืมครอบครัวพ่อแม่ และหากเลือกได้ก็เลือกงานมาก่อนครอบครัวเสมอประเด็นนี้อย่าได้มองข้าม เพราะหากเรารู้สึกผิดขึ้นมาวันหลังเมื่อไหร่ ความรู้สึกผิดนั้นจะบาดลึกและฝังแน่นในจิตใจมาก เพราะครอบครัวเป็นสิ่งลึกซึ้งมากสำหรับจิตใจมนุษย์
14.เรายอมช่วยผู้อื่นโดยเอาความมั่นคงของชีวิตไปเดิมพันแบบโง่ๆ เช่นรู้ทั้งรู้ว่าช่วยเหลือใครแล้วจะต้องเดือดร้อนแน่ๆก็ยังช่วย แล้วก็ต้องมานั่งเครียดเพราะหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้
15. เราไม่รีบทำงานสำคัญที่เราต้องรับผิดชอบโดยตรงและมีแต่เราเท่านั้นที่ทำได้ แต่ห่วงช่วยคนอื่นก่อน จนในที่สุดงานของเราล่าช้าและไม่มีใครสามารถทำแทนเราได้
16. เราไม่ยอมจัดสรรเวลาที่จะผ่อนคลายหรือทำอะไรสนุกๆให้กับชีวิตเลย
17. ที่พักรกรุงรัง สกปรก 

         สำหรับผู้เขียนบอกเลยค่ะ อาการหนักมากค่ะ มีครบทั้ง 17 ข้อแล้ว
      ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นแม้ผู้คนจะชอบคนที่ง่ายๆแต่ในที่สุดก็จะศรัทธาเราน้อยลงเช่นกัน และผลพวงของพฤติกรรมเหล่านี้ จะนำมาซึ่งความหมดไฟแบบสุดขั้ว ชนิดที่สภาพร่างกายล้า ตึงเครียด และจิตใจท้อถอยจนยากจะเยียวยาดังนั้น ถ้าใครเริ่มมีพฤติกรรมแบบที่บอกไว้ รีบแก้ไขด่วนเลยนะคะ
        
"จงรักและเคารพตัวเองให้เป็น
เพื่อที่จะคู่ควรพอที่จะได้รับความรักจากผู้อื่นและเพื่อจะรักผู้อื่นให้เป็น"

Wednesday, February 25, 2015

มหัศจรรย์แห่งน้ำกับชีวิต-Miracle of Water and Life

คุณสมบัติของน้ำ..ที่ควรเอามาเป็นคุณสมบัติของคน




         น้ำสำคัญกับชีวิตมนุษย์อย่างยิ่ง เพราะเป็นส่วนประกอบหลักในร่างกาย และที่สำคัญ ขาดน้ำชีวิตคงม้วยมรณ์ และสมัยนี้ผู้คนก็ให้ความสำคัญกับน้ำมากจริงๆมีผลิตภัณฑ์มากมายที่เกี่ยวกับน้ำ เช่นน้ำมะเขือเทศดอยคำ  อาหารหรือของใช้หลายอย่างถ้าอยุ่ในรูปน้ำแล้วก็กินง่ายใช้ง่าย อย่างอาหารประจำชาติไทยเช่น น้ำพริกกะปิ หรือน้ำมันพรายของแนวขลังๆที่รักใครชอบใครก็ยังมีไปปดีดใส่ได้ (ไม่ควรทำอย่างยิ่ง 555 แต่ความเชื่อนี้ก็มีกันมายาวนาน ) น้ำมีอิทธิพลแทรกซึมไปถึงระบบภาษาและสำนวนไทย เช่นถ้าต้องมีรักแล้วเป็นสองรองใคร ก็ต้องกินน้ำใต้ศอกกันอีก….นอกจากนี้น้ำยังมีคุณต่อมนุษยชาติและสรรพสัตว์บนพื้นโลกนี้ในฐานะแหล่งกำเนิดชีวิต การเกษตรกรรม การขนส่ง และที่ไหนมีแหล่งน้ำ ที่นั้นก็มักจะเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมและดังจะเห็นได้ว่าในหลวงผู้เป็นที่รักเทิดทูนยิ่งของชาวไทย พระองค์ท่านทรงให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์น้ำอย่างยิ่ง ดังที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชดำรัสว่า พระเจ้าอยู่หัวเป็นน้ำ ฉันจะเป็นป่า ป่าที่ถวายความจงรักภักดีต่อน้ำพระเจ้าอยู่หัวสร้างน้ำ ฉันก็จะสร้างป่า” 


     แน่นอนละค่ะ การที่น้ำเป็นสารที่แสนมหัศจรรย์และมีคุณประโยชน์เช่นนี้ได้ ก็แสดงว่าน้ำต้องมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมแน่ๆ เหมือนประโยคเด็ดจากเรื่อง Spiderman "พลังอันยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง"With great power comes great responsibility"และในการพัฒนาศักยภาพหรือพัฒนาชีวิตของคนเรานั้นการดูตัวอย่างจากคุณสมบัติของธรรมชาติรอบตัวแล้วนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตนั้น ก็จะทำให้เรามีชีวิตที่กลมกลืนกับวิถีธรรมชาติและการสังเกตนั้นย่อมทำให้เราเพิ่มปัญญายกระดับจิตใจได้ด้วย ลองมาดูกันนะคะ ว่าสิ่งมหัศจรรย์ที่เรียกว่าน้ำนี้มีคุณสมบัติที่จะช่วยให้แง่คิดในการดำเนินชีวิตและการทำความดีต่อเราได้อย่างไรบ้างซึ่งท่าน อ.วศิน อินทสระ ท่านกล่าวไว้ดังนี้ค่ะ

  1. ชำระสิ่งสกปรก (ช่วยกันทำคนไม่ดีให้เป็นคนดีได้)
  2. ตัดไม่ขาด เมื่อเอาสิ่งกีดขวางออกแล้วน้ำจะไหลเข้าหากันอีก (สามัคคีไม่แตกแยกง่าย)
  3. เมื่อทำกิจเสร็จแล้ว..ไหลลงต่ำ (อ่อนน้อมถ่อมตน)
  4. ปรับตัวได้ดี มีรูปเดียวกับภาชนะที่ใส่ (สมานัตตตา)
  5. เมื่อถูกเผาขึ้นไปจากแหล่งที่สะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง เมื่อกลั่นมาเป็นหยาดฝนจะสะอาดเสมอ 
      (เราได้รับสิ่งดีบ้าง ไม่ดีบ้างจากผู้อื่นแต่ควรตั้งใจให้สิ่ง ดีๆแก่ผู้อื่นเสมอ                
  6. ให้ความชุ่มเย็นแก่ผู้เข้าใกล้ใช้สอยดับร้อนผ่อนกระหาย (นิ่งให้ดูอยู่ให้เห็น เย็นให้รู้สึก)
  7. หล่อเลี้ยงพืชและสัตว์ทุกชนิดอย่างเสมอหน้ากัน (ควรมีความยุติธรรม เมตตากรุณาไม่มีประมาณ)                    
       เป็นอย่างไรกันบ้างคะ ความมหัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่กับ น้ำ สิ่งที่ใกล้ชิดเราที่สุดและสำคัญกับชีวิตเราที่สุด จนบางทีเราไม่ได้เรียนรู้สิ่งดีๆจากน้ำเลยใกล้เกลือกินด่างซะงั้น  ผู้เขียนก็ด้วยค่ะ หวังว่าเพื่อนๆจะมีชีวิตที่มหัศจรรย์เหมือนน้ำ มีความดีทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่นนะคะโลกของเราจะได้ชุ่มเย็นน่าอยู่ขึ้น

Sunday, February 22, 2015

คลื่นสมองกับพลังพิเศษในตัวคุณ-Brain Wave and Your Special Power


ภาพจาก http://www.karunaweb.com/2011/10/14/boost-your-brain-power-with-exercise/

     ด้วยความที่ผู้เขียนเรียนจบจิตวิทยามาและมีพุทธศาสนาเป็นที่พึ่ง แต่ด้วยการงานที่เคร่งเครียดทำให้สมองเริ่มรวนๆและเหนื่อยล้า จนบ่อยครั้งนอนไม่หลับ จนเป็นที่มาของการเริ่มสนใจศึกษาสมองจากแหล่งข้อมูลต่างๆมากขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อใช้เยียวยาตัวเองและเผื่อจะเป็นประโยชน์กับผู้อื่นบ้าง วันนี้ ขอแนะนำข้อมูลการศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับสมองโดยคุณปาริฉัตต์ ศังขะนันทน์ กันนะคะ

     จากการศึกษาคลื่นสมองของคนเราในอดีตเคยเชื่อกันว่า คลื่นสมองและสารที่หลั่งจากสมองนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถบังคับหรือควบคุมกระบวนการได้แต่ปัจจุบันได้มีการทดลองและตรวจวัดคลื่นสมองด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ พบว่ามนุษย์สามารถควบคุมคลื่นสมองและสารที่หลั่งจากสมองได้หากมีการฝึกฝนทางจิต ให้ควบคุมสภาวะอารมณ์และจิตใจได้ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติหรือเร้นลับหาคำอธิบายไม่ได้ แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถฝึกฝนได้ในขณะที่เราดำเนินชีวิตประจำวันตามปรกติ

      พื้นฐานความเข้าใจเรื่องคลื่นสมองและกลไกการทำงานที่เกี่ยวข้องกันนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราได้เรียนรู้โลกภายในตัวเอง และมองเห็น ประโยชน์ของการจัดการกับอารมณ์ ความรู้สึกและความคิดของเรา นับเป็นศิลปะในการดำรงชีวิตที่ทุกคนทำได้ ท่านทราบหรือไม่ว่า ภาวะของคลื่นสมองที่เหมาะสมจะช่วยเปิดพื้นที่การเรียนรู้ในสมองของเรา ส่งผลต่อความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถในการเรียนรู้สิ่งต่างๆและรับข้อมูลปริมาณมากได้อย่างรวดเร็ว ทำให้มนุษย์มีประสิทธิภาพสูงมากในการทำกิจกรรมหรือ สร้างสรรค์ผลงาน จึงเป็นเรื่องน่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับแหล่งกำเนิดพลังงานชีวิตที่ธรรมชาติให้มาในตัวตนของพวกเราทุกคน

      การวัดและแบ่งคลื่นสมองของมนุษย์ตามระดับความสั่นสะเทือน หรือความถี่ ได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้


     1. คลื่นเบต้า (Beta brainwave) มีความถี่ประมาณ 14-21 รอบต่อวินาที (Hz) เป็นช่วงคลื่นสมองที่เร็วที่สุดเกิดขึ้นใน ขณะที่สมองอยู่ใน ภาวะของการทำงาน และ ควบคุมจิตใต้สำนึก (Conscious Mind) ในขณะตื่นและรู้ตัว เช่น การนั่ง ยืน เดิน ทำงาน หรือกิจกรรมต่างๆ ในกรณีที่จิตมีความคิดมากมายหลายอย่างจาก ภารกิจประจำวัน วุ่นวายใจ สับสน หรือฟุ้งซ่าน และสั่งการสมองอย่างไม่เป็นระเบียบ ความถี่ของคลื่นช่วงนี้อาจสูงขึ้นได้ถึง 40 Hz โดยเฉพาะคนในที่มีความเครียดมาก อยู่ในภาวะเร่งรีบบีบคั้น ตื่นเต้นตกใจ อารมณ์ไม่ดี โกรธหรือดีใจมากๆ สมองจะมีการทำงานใน ช่วงคลื่นเบต้ามากเกินไป ในขณะที่หากไม่มีคลื่นเบต้าเกิดขึ้นเลย มนุษย์จะไม่สามารถเรียนรู้ หรือทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ ในโลกภายนอก
   
        ปรกติสมองคนเรา จะมีเส้นทางอัตโนมัติ ในการรับรู้ความรู้สึก ที่ทำให้สั่งการได้โดยไม่ต้องใช้เวลาใน การใคร่ครวญมากนัก ความเป็นอัตโนมัตินี้ ส่วนใหญ่จะมีประโยชน์อยู่ในระดับหนึ่ง และเป็นเรื่องกลางๆสำหรับชีวิต ช่วยย่นย่อ จดจำ เรื่องราวจำเจ ที่ต้องทำซ้ำๆเป็นประจำให้ดำเนินไปได้ บางส่วนเป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อการรอดพ้นจากอันตรายในสถานการณ์คับขัน เช่น การดึงมือออกทันทีเมื่อบังเอิญไปสัมผัสของร้อนจัด แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ อารมณ์ของมนุษย์ก็มีเส้นทางอัตโนมัติเช่นเดียวกันแต่คนส่วนใหญ่มักจะไม่ได้ควบคุมและปล่อยให้ความเป็นอัตโนมัตินี้ทำงานมากเกินไปจากความเคยชินในการป้อนข้อมูลซ้ำๆ ของเราเองโดยมากเป็นความอัตโนมัติ ในทางลบที่มีมากเกินไป ทำให้ข้อมูลเหล่านี้ ถูกส่งผ่านเข้าไปสู่ การทำงานของ ส่วนรับความรู้สึกในสมองที่เรียกว่า อะมิกดาลา’ (Amygdala) ซึ่งเป็น สมองชั้นกลางใกล้กับก้านสมองและมีความสามารถในการเก็บข้อมูลด้านอารมณ์จำนวนมากๆไว้ ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับว่าเราใส่ข้อมูลด้าน "บวกหรือ"ลบมากน้อยแค่ไหนก็จะทำให้สมองจดจำและตอบสนองในทิศทางนั้น หากเราปล่อยให้ความอัตโนมัตินี้ทำงานตามลำพังโดยไม่ฝึกกำหนดรู้ก็จะทำให้เราติดกับดักของอารมณ์ที่ไม่ดีอยู่ตลอดเวลา สมองของเราจะทำงานอยู่แต่ในเฉพาะช่วงคลื่นเบต้า ซึ่งในโหมดนี้ถือว่าเป็นโหมดปกป้อง มีทั้งเบต้าอ่อนและแก่ แก่หมายถึงความถี่สูงมีผลให้ความคิดถดถอยจากสภาวะปกติและทำงานอยู่ในฐานความกลัว มีลักษณะต้านทานความเปลี่ยนแปลง บางคนจะหยุดและปิดการเรียนรู้เพราะเกิดความเครียด สภาวะนี้สมองจะหลั่งฮอร์โมนด้านลบออกมามากเกินไป นำไปสู่ปฏิกิริยาเคมีที่ทำร้ายส่วนอื่นๆของร่างกายเป็นลูกโซ่ต่อไปเรื่อยๆ เช่น อะดรีนาลีน คอร์ติซอล เป็นต้น

       2. คลื่นอัลฟ่า (Alpha brainwave) มีความถี่ประมาณ 7-14 รอบต่อวินาที (Hz) ความถี่ของคลื่นที่ต่ำลงมานี้ ก็คือเป็นคลื่นสมองที่ปรากฎบ่อยในเด็กที่มีความสุขและในผู้ใหญ่ที่มีการฝึกฝนตนเองให้สงบนิ่งมากขึ้น อาจหมายถึง สภาวะที่จิตสมดุล อยู่ใน สภาวะสบายๆ มีการช้าลงด้วย การใคร่ครวญ ไม่ด่วนตอบสนองต่อสิ่งเร้าด้วย อารมณ์อันรวดเร็ว เวลาที่ความถี่น้อยลง หมายถึงว่า เราจะคิดช้าลง เป็นจังหวะ เป็นท่วงทำนอง คมชัด ให้เวลาแก่จิตในการไตร่ตรองและมีความคิดเป็นระบบขึ้น สภาวะที่สมองทำงาน อยู่ในคลื่นอัลฟ่ายังพบอยู่ใน หลายๆ รูปแบบ เช่น ขณะที่กล้ามเนื้อ หรือ ร่างกายผ่อนคลาย ช่วงเวลาที่ง่วงนอน ก่อนหลับหรือหลับใหม่ๆ เวลาทำอะไรเพลินๆจนลืมสิ่งรอบๆตัว เวลาสบายใจ เวลาอ่านหนังสือหรือจดจ่อกับกิจกรรมใดๆอย่างต่อเนื่องในระยะเวลาหนึ่ง และการเข้าสมาธิ ในระดับภวังค์ที่ไม่ลึกมาก

       จากลักษณะดังกล่าว ช่วงคลื่นอัลฟ่า จะเป็นประตูไปสู่ การทำสมาธิในระดับลึก และถือว่า เป็นช่วงที่ดีที่สุด ในการป้อนข้อมูล ให้แก่ จิตใต้สำนึก สมองสามารถเปิดรับข้อมูลได้อย่างเต็มที่และเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว มีความคิดสร้างสรรค์ เป็นสภาวะที่จิตมีประสิทธิภาพสูง ในทางการแพทย์และจิตศาสตร เองก็ถือว่าสภาวะนี้เป็นหัวใจของการสะกดจิตเพื่อการบำบัดโรค โดยหากจะตั้งโปรแกรมจิตใต้สำนึก ก็ควรทำในช่วงที่คลื่นสมองเป็นอัลฟ่าในคนทั่วไปเอง ก็ควรฝึกฝนตนเองให้ สมองทำงานอยู่ในช่วงคลื่นอัลฟ่า เป็นประจำเช่นเดียวกัน เพราะจะช่วยสร้าง ความผ่อนคลาย ร่างกายจะไม่ทำงานอยู่บนฐานแห่งความกลัว หรือ วิตกกังวล แต่จะมองชีวิต อย่างสนุกสนาน มีความรู้สึกอยากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆหรืออยากสำรวจโลกแบบเด็กๆ แต่คนส่วนใหญ่มักจะขาดการฝึกฝนให้ตนเองมีคลื่นสมองชนิดนี้และมักปล่อยให้อารมณ์อัตโนมัติตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆ อย่างรวดเร็ว ขาดการคิดใคร่ครวญ ด้วยระยะเวลาอันเหมาะสมก่อน หากเรามีการฝึกฝนจิตให้ตื่นรู้เช่นเดียวกันกับแนวทางการปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา คลื่นอัลฟ่านี้จะถูกบ่มเพาะให้เข้มแข็งขึ้น สามารถรื้อโปรแกรมอัตโนมัติเก่า สร้างโปรแกรมอัตโนมัติใหม่ๆได้

      3. คลื่นเธต้า (Theta brainwaves) มีคลื่นความถี่ประมาณ 4 - 11 รอบต่อวินาที (Hz) เป็นช่วงคลื่นที่สมองทำงานช้าลงมาก พบเป็นปรกติในช่วงที่คนเราหลับหรือมีความผ่อนคลายอย่างสูง แต่ในภาวะที่ไม่หลับคลื่นชนิดนี้ ก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน เช่น ขณะอยู่ในการภาวนาสมาธิที่ลึกในระดับหนึ่ง การเข้าสู่สภาวะนี้ จะใกล้เคียงกับ คลื่นสมองในสภาวะอัลฟ่า คือ มีความสุข สบาย ลืมความทุกข์ แต่จะมีความปิติสุขมากกว่า สภาวะนี้มีความเชื่อมโยงกับการเห็นภาพต่างๆ สมองในช่วงคลื่นเธต้าจะเปรียบเสมือนแหล่งเก็บแรงบันดาลใจ ความคิดสร้างสรรค์ที่อยู่ในความจิตใจส่วนลึกของเรา จึงเป็นคลื่นสมองที่สะท้อนการทำงานของจิตใต้สำนึก (Subconscious Mind) อันเป็นการทำงานของเนื้อสมองส่วนใหญ่ของมนุษย์ ระดับพฤติกรรมภายใต้ความถี่ของของคลื่นเธต้า เป็นลักษณะที่บุคคลคิดคำนึงเพื่อแก้ปัญหา พบได้ทั้งลักษณะที่รู้สำนึกและไร้สำนึก ปรากฏออกมาเป็นความคิดสร้างสรรค์ เกิดความคิดหยั่งเห็น (Insight) มีความสงบทางจิตและมองโลกในแง่ดี เกิดสมาธิแน่วแน่และเกิดปัญญาญาณ มีศักยภาพสำหรับความจำระยะยาวและการระลึกรู้

       4. คลื่นเดลต้า (Delta brainwaves) มีความถี่ประมาณ 0 – 4 รอบต่อวินาที(Hz) เป็นคลื่นสมองที่ช้าที่สุด สภาวะนี้จะทำให้ ร่างกายเกิดความผ่อนคลาย ในระดับที่สูงมาก เป็นคลื่นสมองที่ทำงานเชื่อมต่อกับส่วนที่เป็น จิตไร้สำนึก (Unconsciousmind) เช่น ในขณะที่ร่างกายหลับลึกโดยไม่มีการฝันหรือเกิดจากการเข้าสมาธิลึกๆ ในระดับฌาน ในช่วงนี้คลื่นสมองแสดงให้เห็นว่า ร่างกายกำลังดื่มด่ำกับ การพักผ่อนลงลึกอย่างเต็มที่ เปรียบได้กับการประจุพลังงานเข้าสู่ร่างกายใหม่ ผู้ที่ผ่านการหลับลึก ในช่วงเวลาที่พอเหมาะพอดี จะรู้สึกได้ถึงความสดชื่นกระปี้กระเปร่ามากเป็นพิเศษ เมื่อเปรียบเทียบกับ ผู้ที่นอนหลับไม่ค่อยสนิท และสำหรับผู้ที่ทำสมาธิอยู่ในระดับฌานลึก ๆ เมื่อออกจากสมาธิแล้ว ก็จะยังคงติดรสแห่งปิติสุข ทำให้เกิดความสุขใจ มีใบหน้าผ่องใสเต็มอิ่ม ไปด้วย ความสุขสดชื่นเช่นเดียวกัน

      นอกจากนี้สมองยังแบ่งการทำงานออกเป็นซีกซ้าย และซีกขวา และคลื่นสมองทั้งสองด้าน ยังมีการขึ้นลงเป็นอิสระต่อกัน ทำให้ความถี่แตกต่างกันแต่นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่า ในระหว่างการฝึกจิตทำสมาธิจะส่งผลต่อการปรับความถี่ของสมองทั้งสองด้านให้ขึ้นลงเหมือนกัน กราฟของคลื่นสมองทั้งสองด้าน มีรูปร่างคล้ายตุ๊กตา เป็นลักษณะที่เรียกว่า Synchronization ซึ่งการเกิด Synchronization นี้จะทำให้เกิดพลังจิตที่เพิ่มขึ้นในมนุษย์เป็นภาวะพิเศษแห่งการตื่นรู้ของจิต (Awakened Mind) นักวิชาการ ทางการแพทย์ และผู้ศึกษาและพัฒนาจิตเพื่อ สุขภาพ กล่าวว่า เมื่อเราสามารถเข้าไปสู่ จิตใต้สำนึกหรือถึงระดับ จิตไร้สำนึกได้บ่อยๆ โดยที่มี จิตสำนึกกำกับอยู่ ก็จะ จำได้และสามารถลงไปสู่แหล่งข้อมูล มหาศาล ได้บ่อยมากขึ้นเร็วมากขึ้น ข้อมูลที่ได้จาก จิตใต้สำนึกและ จิตไร้สำนึกนั้น เป็นข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ จะออกมาในลักษณะที่เรียกว่า ญาณทัศนะ’ (Intuition) หรือ ปิ๊งแว๊บ หรือ ยูเรก้า ซึ่งเป็นชุดภาษาอีกแบบหนึ่ง ที่อาจจะไม่ใช่คำพูด แต่มีความพอเหมาะพอดีแบบที่คาดไม่ถึง"

        เราได้เรียนรู้ว่า ขณะที่สมองทำงานอยู่ในช่วงคลื่นอัลฟ่า เธต้า และเดลต้า จะช่วยให้เราผ่อนคลายและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่สภาวะ ปัจจุบัน เกือบทุกสิ่งรอบตัวต่างเต็มได้ด้วยความเร่งด่วน นับตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เราก็อยู่ในโลกแห่งความเร่งรีบเสียแล้ว ชีวิตมีแต่การบ่มเพาะว่า ทุกอย่างต้องรวดเร็ว หากช้าจะไม่ทันการณ์ สมองของคนส่วนใหญ่จึงทำงานอยู่ในเฉพาะช่วงคลื่นเบต้าเป็นหลัก ในขณะเดียวกันเราก็ปล่อยให้การสั่งการของโปรแกรมอัตโนมัติทางอารมณ์ทำงานไปตามยถากรรมแบบดีบ้างไม่ดีบ้าง คุ้มดีคุ้มร้ายสุดแต่ว่าจะมีอะไรเข้ามากระทบ เราขาดการฝึกฝนจิต ให้มีความชำนาญในการคิดอย่างใคร่ครวญก่อนตอบสนอง

        จะเห็นว่า ในทางปฏิบัติ เรื่องสำคัญอันดับแรกที่จะทำให้เราปรับคลื่นสมองได้ คือ เราต้องรู้ตัวและฝึกการรับรู้อารมณ์ให้ได้ก่อน มีเทคนิค ที่สามารถนำมา ใช้ได้ตลอดเวลาในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา จากหนังสือชื่อ บายพาสอารมณ์ของ นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์ ได้ให้แนวคิดว่า ตลอดเวลาที่เราตื่นกันอยู่ ประมาณ 16 ชั่วโมงต่อวันนั้น เราเคยสนใจลมหายใจของเราหรือไม่ ง่ายๆ แค่ว่ารู้ตัวว่า เราหายใจเข้า รู้ตัวว่าเราหายใจออก ก็นับเป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางใหม่ ของปฏิกิริยาชีวเคมีในสมองแล้ว การฝึกรับรู้ ลมหายใจ นี้เป็น แบบฝึกหัดเริ่มต้นแบบง่ายๆ ในขณะที่การฝึกรับรู้อารมณ์จะยากกว่า แต่ถ้าเราฝึกตัวรู้เรื่อง ลมหายใจ ได้ก็เสมือน ได้พัฒนาช่องทางการรับรู้อื่นด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นพุทธศาสนา โยคะ ซี่กง จึงเน้นความสำคัญเรื่อง การฝึกลมหายใจเหมือนกัน

      ในการฝึกรับรู้อารมณ์นี้ นพ.วิธาน แนะนำว่าให้ลองเฝ้าดูอารมณ์ที่เกิดขึ้น โดยใช้วิธีสมมติว่ามีตัวเราอีกคนหนึ่ง กำลังเฝ้าดูตัวเรา คนที่ที่กำลังมีอารมณ์นั้น ๆ หากเป็นอารมณ์ในทาง บวกหรืออารมณ์ กลางๆ ก็ให้เฝ้าดูและดื่มด่ำกับอารมณ์นี้อย่างรู้ตัว ไม่หลงระเริงไปกับมัน แต่ถ้าเป็นอารมณ์ ลบก็เพียงเฝ้าดูอีกเช่นกัน เสมือนหนึ่งการชำเลืองดูลูกน้อยที่กำลังทำผิดโดยที่ไม่ไปทะเลาะด้วย พยายามให้ความสำคัญกับตัวเราคนที่เฝ้าดู อย่าไปโฟกัสกับตัวเราคนที่กำลังเกิดอารมณ์โกรธ วิตกกังวล หรือ อารมณ์ไม่ดี อยู่ในขณะนั้น ด้วยหลักการของพลังงานมีขึ้นลง ไม่จำเป็นต้องระเบิด เพื่อระบายอารมณ์ ในที่สุดตัว เราคนที่กำลังโกรธ จะค่อยๆ คลายไปเอง การสร้างเส้นทางใหม่ของอารมณ์นี้ จะค่อยๆเปลี่ยนพลังด้านลบออกไปเป็น พลังด้านบวก เพียงเฝ้าดูแบบยิ้มๆเท่านี้เอง วิธีนี้ทางพุทธศาสนามีมากว่า สองพันปีแล้ว และเป็นเส้นทางที่ได้ผลดีมาก แต่เราต้องใช้ความพยายามในการฝึกฝนบ่อยๆ ต้องใช้เวลา
อาจได้บ้างไม่ได้บ้างในระยะแรกๆแต่ถ้าทำบ่อ ๆจะเกิดความชำนาญขึ้นเอง โดย นพ.วิธาน ให้ข้อคิดว่า ทุกวันนี้ เราต่างมีเวลา สร้างสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นมากมาย ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะสร้างเส้นทางใหม่ให้กับอารมณ์ของเราเอง และเทคนิคใน การเฝ้าดูอารมณ์ ของตนเองนี้ เปรียบเสมือนการล้างพิษหรือดีท็อกซ์ของจิตใจที่ดีมากวิธีหนึ่ง

       ความเข้าใจกลไก การทำงานแห่งโลกภายในตนเอง มีส่วนอย่างมากในการช่วยให้มนุษย์สามารถพัฒนาจิตใจและคุณภาพภายใน และเป็นเรื่องที่ไม่ได้ แยกขาดจาก การดำเนินชีวิตของเราแต่อย่างใด เมื่อนำไปประกอบกับ วิชาความรู้ ที่เราศึกษาเพิ่มเติม จากโลกภายนอก จะทำให้ความรู้ของมนุษย์ เกิดความสมดุล สามารถระลึกรู้และใช้ปัญญากำกับได้ ดังนั้นไม่ว่าใคร จะมีบทบาทอยู่ใน หน้าที่ใดในสังคม ก็จะสามารถเลือกใช้วิชาการต่างๆ ที่เป็นประโยชน์มาประสานเชื่อมโยงกันอย่างชาญฉลาด ภายใต้ความเมตตาและจิตสำนึกต่อส่วนรวม

ก่อนนอน ลองฟังเพลงปรับจูนคลื่นสมองด้วยคลื่นความถี่เบต้า เพื่อช่วยให้เพื่อนๆหลับลึกและมีสมาธิ....ฝันดีนะคะทุกๆคน

จาก https://www.youtube.com/watch?v=roDv_9RcEn0



Resource: สำนักหอสมุดและศูนย์สารสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี