Search This Blog

Thursday, February 26, 2015

รักตัวเองให้เป็น- Easy ways to love yourself

        
      ทำไมเรามักอยากได้รับความรัก ความเมตตา การดูแลจากคนอื่น แต่เรากลับไม่ยอมรักตัวเอง ดูได้จากการที่เรารีบเร่งเสมอในทุกๆเรื่อง เวลาและเรื่องของปากท้องบีบคั้นเราให้ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำจนoffice syndrome ถามหา เราต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ต้องห่วงใยดูแลลูกค้า บ่อยครั้งเราบอกกับตัวเองว่า ไม่เป็นไรน่า ทนอีกนิดเดียว เดี๋ยวค่อยทานข้าวก็ได้ เดี๋ยวค่อยไปออกกำลังกายก็ได้ บางคนหนักถึงขั้น ยอมกลั้นปัสสาวะอุจจาระเพื่อจะเร่งทำงาน หรือทำสิ่งต่างๆเพื่อคนอื่นๆก่อน


        จากชีวิตจริงของผู้เขียน การละเลยที่จะรักตัวเองก่อน นอกจากจะทำร้ายตัวเองทั้งด้านสุขภาพร่างกาย จิตใจ และโอกาสทางสังคมอื่นๆแล้ว สิ่งที่เราจะสูญเสียไปด้วยแบบที่เราคาดไม่ถึงเลยก็คือ การได้รับความเคารพจากผู้คนรอบข้าง จริงอยู่ที่ว่าการทำตัวเป็นคนใช้ชีวิตง่ายๆไม่เรื่องมากและห่วงตัวเองน้อยกว่าผู้อื่นนั้นดูจะเป็นนิสัยที่น่ารัก แต่ในระยะยาวแล้ว มันจะบั่นทอนความนับถือจากคนรอบข้างที่มีต่อเราลงไปด้วย การเป็นคนประเภทอะไรก็ได้ ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงมาตรฐานในการดำรงชีวิตที่ต่ำของเราและอาจนำมาซึ่งความรู้สึกว่าเราเป็นคนที่ปรึกษาหรือพึ่งพิงไม่ได้ในเรื่องที่เราละเลยเหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เขียนเองทำงานเป็นผู้บริหาร ยิ่งต้องรักตัวเอง เคารพตัวเองให้มาก ด้วยการใช้ชีวิตอย่างสมดุล มีความพอดี และจัดสรรเวลาอย่างลงตัว ดูแลตัวเองให้ดีที่สุด ดีจนเมื่อใครๆคิดถึงเรา ต้องให้เค้าเหล่านั้นนึกถึงเราทั้งในแง่มาตรฐานการใช้ชีวิตและมาตรฐานการทำงาน 


     มาดูกันนะคะว่า มีสัญญาณที่เพื่อนๆคาดไม่ถึงอะไรกันบ้างที่แสดงว่าเราเริ่มจะรักตัวเองน้อยเกินไปซะแล้ว
          1.   ไม่อาบน้ำตอนไปทำงาน และหลังกลับจากงาน
2.   ปล่อยตัว เสื้อผ้า หน้าผมไม่ดูแล (จนบางทีลูกค้าทำหน้างงๆว่าผู้เขียนเป็นผู้บริหารแน่หรือ)
3.   ดื่มน้ำน้อยจนบางครั้งอาการหนักถึงขนาดลืมดื่มน้ำทั้งวัน
4.  ทานอาหารไม่เป็นเวลา และมักทานอาหารเดิมๆซ้ำ เพราะเร่งรีบและคิดว่าอะไรกินก็ได้
5.  ยอมให้เพื่อนร่วมงานฉกฉวยเวลาอันมีค่าของเราด้วยการโยนงานให้เรา
6.  ยอมที่จะทำงานหามรุ่งหามค่ำ และแบกรับเกินหน้าที่ บางทีโต้รุ่ง
7.  ยอมสละเวลาพักกลางวัน พักร้อน วันหยุด เพื่อมาทำงานหรือ
8.  กลั้นอุจจาระ ปัสสาวะ เพราะมัวหมกมุ่นกับงาน
9.  ทานอาหารโดยที่สายตายังจับจ้องอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือกองงาน
10.ยอมให้เพื่อนร่วมงาน คนรอบข้างทำให้เราแอบขุ่นเคืองใจกับเรื่องเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยที่เราไม่ยอมจัดการ แต่ก็ต้องแอบคับข้องใจไม่หาย
11. รับสายลูกค้าทั้งที่ขับรถ ขึ้นมอเตอร์ไซค์รับจ้าง หรือข้ามถนนอยู่
12. การชำระหนี้ต่างๆ ค่าโทรศัพท์ล่าช้า จนเกิดค่าปรับเพราะมัวแต่ใส่ใจคนอื่น ใส่ใจงาน
13.เลือกที่ยุ่งกับงาน จนลืมครอบครัวพ่อแม่ และหากเลือกได้ก็เลือกงานมาก่อนครอบครัวเสมอประเด็นนี้อย่าได้มองข้าม เพราะหากเรารู้สึกผิดขึ้นมาวันหลังเมื่อไหร่ ความรู้สึกผิดนั้นจะบาดลึกและฝังแน่นในจิตใจมาก เพราะครอบครัวเป็นสิ่งลึกซึ้งมากสำหรับจิตใจมนุษย์
14.เรายอมช่วยผู้อื่นโดยเอาความมั่นคงของชีวิตไปเดิมพันแบบโง่ๆ เช่นรู้ทั้งรู้ว่าช่วยเหลือใครแล้วจะต้องเดือดร้อนแน่ๆก็ยังช่วย แล้วก็ต้องมานั่งเครียดเพราะหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้
15. เราไม่รีบทำงานสำคัญที่เราต้องรับผิดชอบโดยตรงและมีแต่เราเท่านั้นที่ทำได้ แต่ห่วงช่วยคนอื่นก่อน จนในที่สุดงานของเราล่าช้าและไม่มีใครสามารถทำแทนเราได้
16. เราไม่ยอมจัดสรรเวลาที่จะผ่อนคลายหรือทำอะไรสนุกๆให้กับชีวิตเลย
17. ที่พักรกรุงรัง สกปรก 

         สำหรับผู้เขียนบอกเลยค่ะ อาการหนักมากค่ะ มีครบทั้ง 17 ข้อแล้ว
      ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นแม้ผู้คนจะชอบคนที่ง่ายๆแต่ในที่สุดก็จะศรัทธาเราน้อยลงเช่นกัน และผลพวงของพฤติกรรมเหล่านี้ จะนำมาซึ่งความหมดไฟแบบสุดขั้ว ชนิดที่สภาพร่างกายล้า ตึงเครียด และจิตใจท้อถอยจนยากจะเยียวยาดังนั้น ถ้าใครเริ่มมีพฤติกรรมแบบที่บอกไว้ รีบแก้ไขด่วนเลยนะคะ
        
"จงรักและเคารพตัวเองให้เป็น
เพื่อที่จะคู่ควรพอที่จะได้รับความรักจากผู้อื่นและเพื่อจะรักผู้อื่นให้เป็น"

Wednesday, February 25, 2015

มหัศจรรย์แห่งน้ำกับชีวิต-Miracle of Water and Life

คุณสมบัติของน้ำ..ที่ควรเอามาเป็นคุณสมบัติของคน




         น้ำสำคัญกับชีวิตมนุษย์อย่างยิ่ง เพราะเป็นส่วนประกอบหลักในร่างกาย และที่สำคัญ ขาดน้ำชีวิตคงม้วยมรณ์ และสมัยนี้ผู้คนก็ให้ความสำคัญกับน้ำมากจริงๆมีผลิตภัณฑ์มากมายที่เกี่ยวกับน้ำ เช่นน้ำมะเขือเทศดอยคำ  อาหารหรือของใช้หลายอย่างถ้าอยุ่ในรูปน้ำแล้วก็กินง่ายใช้ง่าย อย่างอาหารประจำชาติไทยเช่น น้ำพริกกะปิ หรือน้ำมันพรายของแนวขลังๆที่รักใครชอบใครก็ยังมีไปปดีดใส่ได้ (ไม่ควรทำอย่างยิ่ง 555 แต่ความเชื่อนี้ก็มีกันมายาวนาน ) น้ำมีอิทธิพลแทรกซึมไปถึงระบบภาษาและสำนวนไทย เช่นถ้าต้องมีรักแล้วเป็นสองรองใคร ก็ต้องกินน้ำใต้ศอกกันอีก….นอกจากนี้น้ำยังมีคุณต่อมนุษยชาติและสรรพสัตว์บนพื้นโลกนี้ในฐานะแหล่งกำเนิดชีวิต การเกษตรกรรม การขนส่ง และที่ไหนมีแหล่งน้ำ ที่นั้นก็มักจะเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมและดังจะเห็นได้ว่าในหลวงผู้เป็นที่รักเทิดทูนยิ่งของชาวไทย พระองค์ท่านทรงให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์น้ำอย่างยิ่ง ดังที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชดำรัสว่า พระเจ้าอยู่หัวเป็นน้ำ ฉันจะเป็นป่า ป่าที่ถวายความจงรักภักดีต่อน้ำพระเจ้าอยู่หัวสร้างน้ำ ฉันก็จะสร้างป่า” 


     แน่นอนละค่ะ การที่น้ำเป็นสารที่แสนมหัศจรรย์และมีคุณประโยชน์เช่นนี้ได้ ก็แสดงว่าน้ำต้องมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมแน่ๆ เหมือนประโยคเด็ดจากเรื่อง Spiderman "พลังอันยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง"With great power comes great responsibility"และในการพัฒนาศักยภาพหรือพัฒนาชีวิตของคนเรานั้นการดูตัวอย่างจากคุณสมบัติของธรรมชาติรอบตัวแล้วนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตนั้น ก็จะทำให้เรามีชีวิตที่กลมกลืนกับวิถีธรรมชาติและการสังเกตนั้นย่อมทำให้เราเพิ่มปัญญายกระดับจิตใจได้ด้วย ลองมาดูกันนะคะ ว่าสิ่งมหัศจรรย์ที่เรียกว่าน้ำนี้มีคุณสมบัติที่จะช่วยให้แง่คิดในการดำเนินชีวิตและการทำความดีต่อเราได้อย่างไรบ้างซึ่งท่าน อ.วศิน อินทสระ ท่านกล่าวไว้ดังนี้ค่ะ

  1. ชำระสิ่งสกปรก (ช่วยกันทำคนไม่ดีให้เป็นคนดีได้)
  2. ตัดไม่ขาด เมื่อเอาสิ่งกีดขวางออกแล้วน้ำจะไหลเข้าหากันอีก (สามัคคีไม่แตกแยกง่าย)
  3. เมื่อทำกิจเสร็จแล้ว..ไหลลงต่ำ (อ่อนน้อมถ่อมตน)
  4. ปรับตัวได้ดี มีรูปเดียวกับภาชนะที่ใส่ (สมานัตตตา)
  5. เมื่อถูกเผาขึ้นไปจากแหล่งที่สะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง เมื่อกลั่นมาเป็นหยาดฝนจะสะอาดเสมอ 
      (เราได้รับสิ่งดีบ้าง ไม่ดีบ้างจากผู้อื่นแต่ควรตั้งใจให้สิ่ง ดีๆแก่ผู้อื่นเสมอ                
  6. ให้ความชุ่มเย็นแก่ผู้เข้าใกล้ใช้สอยดับร้อนผ่อนกระหาย (นิ่งให้ดูอยู่ให้เห็น เย็นให้รู้สึก)
  7. หล่อเลี้ยงพืชและสัตว์ทุกชนิดอย่างเสมอหน้ากัน (ควรมีความยุติธรรม เมตตากรุณาไม่มีประมาณ)                    
       เป็นอย่างไรกันบ้างคะ ความมหัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่กับ น้ำ สิ่งที่ใกล้ชิดเราที่สุดและสำคัญกับชีวิตเราที่สุด จนบางทีเราไม่ได้เรียนรู้สิ่งดีๆจากน้ำเลยใกล้เกลือกินด่างซะงั้น  ผู้เขียนก็ด้วยค่ะ หวังว่าเพื่อนๆจะมีชีวิตที่มหัศจรรย์เหมือนน้ำ มีความดีทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่นนะคะโลกของเราจะได้ชุ่มเย็นน่าอยู่ขึ้น

Sunday, February 22, 2015

คลื่นสมองกับพลังพิเศษในตัวคุณ-Brain Wave and Your Special Power


ภาพจาก http://www.karunaweb.com/2011/10/14/boost-your-brain-power-with-exercise/

     ด้วยความที่ผู้เขียนเรียนจบจิตวิทยามาและมีพุทธศาสนาเป็นที่พึ่ง แต่ด้วยการงานที่เคร่งเครียดทำให้สมองเริ่มรวนๆและเหนื่อยล้า จนบ่อยครั้งนอนไม่หลับ จนเป็นที่มาของการเริ่มสนใจศึกษาสมองจากแหล่งข้อมูลต่างๆมากขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อใช้เยียวยาตัวเองและเผื่อจะเป็นประโยชน์กับผู้อื่นบ้าง วันนี้ ขอแนะนำข้อมูลการศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับสมองโดยคุณปาริฉัตต์ ศังขะนันทน์ กันนะคะ

     จากการศึกษาคลื่นสมองของคนเราในอดีตเคยเชื่อกันว่า คลื่นสมองและสารที่หลั่งจากสมองนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถบังคับหรือควบคุมกระบวนการได้แต่ปัจจุบันได้มีการทดลองและตรวจวัดคลื่นสมองด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ พบว่ามนุษย์สามารถควบคุมคลื่นสมองและสารที่หลั่งจากสมองได้หากมีการฝึกฝนทางจิต ให้ควบคุมสภาวะอารมณ์และจิตใจได้ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติหรือเร้นลับหาคำอธิบายไม่ได้ แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถฝึกฝนได้ในขณะที่เราดำเนินชีวิตประจำวันตามปรกติ

      พื้นฐานความเข้าใจเรื่องคลื่นสมองและกลไกการทำงานที่เกี่ยวข้องกันนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราได้เรียนรู้โลกภายในตัวเอง และมองเห็น ประโยชน์ของการจัดการกับอารมณ์ ความรู้สึกและความคิดของเรา นับเป็นศิลปะในการดำรงชีวิตที่ทุกคนทำได้ ท่านทราบหรือไม่ว่า ภาวะของคลื่นสมองที่เหมาะสมจะช่วยเปิดพื้นที่การเรียนรู้ในสมองของเรา ส่งผลต่อความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถในการเรียนรู้สิ่งต่างๆและรับข้อมูลปริมาณมากได้อย่างรวดเร็ว ทำให้มนุษย์มีประสิทธิภาพสูงมากในการทำกิจกรรมหรือ สร้างสรรค์ผลงาน จึงเป็นเรื่องน่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับแหล่งกำเนิดพลังงานชีวิตที่ธรรมชาติให้มาในตัวตนของพวกเราทุกคน

      การวัดและแบ่งคลื่นสมองของมนุษย์ตามระดับความสั่นสะเทือน หรือความถี่ ได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้


     1. คลื่นเบต้า (Beta brainwave) มีความถี่ประมาณ 14-21 รอบต่อวินาที (Hz) เป็นช่วงคลื่นสมองที่เร็วที่สุดเกิดขึ้นใน ขณะที่สมองอยู่ใน ภาวะของการทำงาน และ ควบคุมจิตใต้สำนึก (Conscious Mind) ในขณะตื่นและรู้ตัว เช่น การนั่ง ยืน เดิน ทำงาน หรือกิจกรรมต่างๆ ในกรณีที่จิตมีความคิดมากมายหลายอย่างจาก ภารกิจประจำวัน วุ่นวายใจ สับสน หรือฟุ้งซ่าน และสั่งการสมองอย่างไม่เป็นระเบียบ ความถี่ของคลื่นช่วงนี้อาจสูงขึ้นได้ถึง 40 Hz โดยเฉพาะคนในที่มีความเครียดมาก อยู่ในภาวะเร่งรีบบีบคั้น ตื่นเต้นตกใจ อารมณ์ไม่ดี โกรธหรือดีใจมากๆ สมองจะมีการทำงานใน ช่วงคลื่นเบต้ามากเกินไป ในขณะที่หากไม่มีคลื่นเบต้าเกิดขึ้นเลย มนุษย์จะไม่สามารถเรียนรู้ หรือทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ ในโลกภายนอก
   
        ปรกติสมองคนเรา จะมีเส้นทางอัตโนมัติ ในการรับรู้ความรู้สึก ที่ทำให้สั่งการได้โดยไม่ต้องใช้เวลาใน การใคร่ครวญมากนัก ความเป็นอัตโนมัตินี้ ส่วนใหญ่จะมีประโยชน์อยู่ในระดับหนึ่ง และเป็นเรื่องกลางๆสำหรับชีวิต ช่วยย่นย่อ จดจำ เรื่องราวจำเจ ที่ต้องทำซ้ำๆเป็นประจำให้ดำเนินไปได้ บางส่วนเป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อการรอดพ้นจากอันตรายในสถานการณ์คับขัน เช่น การดึงมือออกทันทีเมื่อบังเอิญไปสัมผัสของร้อนจัด แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ อารมณ์ของมนุษย์ก็มีเส้นทางอัตโนมัติเช่นเดียวกันแต่คนส่วนใหญ่มักจะไม่ได้ควบคุมและปล่อยให้ความเป็นอัตโนมัตินี้ทำงานมากเกินไปจากความเคยชินในการป้อนข้อมูลซ้ำๆ ของเราเองโดยมากเป็นความอัตโนมัติ ในทางลบที่มีมากเกินไป ทำให้ข้อมูลเหล่านี้ ถูกส่งผ่านเข้าไปสู่ การทำงานของ ส่วนรับความรู้สึกในสมองที่เรียกว่า อะมิกดาลา’ (Amygdala) ซึ่งเป็น สมองชั้นกลางใกล้กับก้านสมองและมีความสามารถในการเก็บข้อมูลด้านอารมณ์จำนวนมากๆไว้ ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับว่าเราใส่ข้อมูลด้าน "บวกหรือ"ลบมากน้อยแค่ไหนก็จะทำให้สมองจดจำและตอบสนองในทิศทางนั้น หากเราปล่อยให้ความอัตโนมัตินี้ทำงานตามลำพังโดยไม่ฝึกกำหนดรู้ก็จะทำให้เราติดกับดักของอารมณ์ที่ไม่ดีอยู่ตลอดเวลา สมองของเราจะทำงานอยู่แต่ในเฉพาะช่วงคลื่นเบต้า ซึ่งในโหมดนี้ถือว่าเป็นโหมดปกป้อง มีทั้งเบต้าอ่อนและแก่ แก่หมายถึงความถี่สูงมีผลให้ความคิดถดถอยจากสภาวะปกติและทำงานอยู่ในฐานความกลัว มีลักษณะต้านทานความเปลี่ยนแปลง บางคนจะหยุดและปิดการเรียนรู้เพราะเกิดความเครียด สภาวะนี้สมองจะหลั่งฮอร์โมนด้านลบออกมามากเกินไป นำไปสู่ปฏิกิริยาเคมีที่ทำร้ายส่วนอื่นๆของร่างกายเป็นลูกโซ่ต่อไปเรื่อยๆ เช่น อะดรีนาลีน คอร์ติซอล เป็นต้น

       2. คลื่นอัลฟ่า (Alpha brainwave) มีความถี่ประมาณ 7-14 รอบต่อวินาที (Hz) ความถี่ของคลื่นที่ต่ำลงมานี้ ก็คือเป็นคลื่นสมองที่ปรากฎบ่อยในเด็กที่มีความสุขและในผู้ใหญ่ที่มีการฝึกฝนตนเองให้สงบนิ่งมากขึ้น อาจหมายถึง สภาวะที่จิตสมดุล อยู่ใน สภาวะสบายๆ มีการช้าลงด้วย การใคร่ครวญ ไม่ด่วนตอบสนองต่อสิ่งเร้าด้วย อารมณ์อันรวดเร็ว เวลาที่ความถี่น้อยลง หมายถึงว่า เราจะคิดช้าลง เป็นจังหวะ เป็นท่วงทำนอง คมชัด ให้เวลาแก่จิตในการไตร่ตรองและมีความคิดเป็นระบบขึ้น สภาวะที่สมองทำงาน อยู่ในคลื่นอัลฟ่ายังพบอยู่ใน หลายๆ รูปแบบ เช่น ขณะที่กล้ามเนื้อ หรือ ร่างกายผ่อนคลาย ช่วงเวลาที่ง่วงนอน ก่อนหลับหรือหลับใหม่ๆ เวลาทำอะไรเพลินๆจนลืมสิ่งรอบๆตัว เวลาสบายใจ เวลาอ่านหนังสือหรือจดจ่อกับกิจกรรมใดๆอย่างต่อเนื่องในระยะเวลาหนึ่ง และการเข้าสมาธิ ในระดับภวังค์ที่ไม่ลึกมาก

       จากลักษณะดังกล่าว ช่วงคลื่นอัลฟ่า จะเป็นประตูไปสู่ การทำสมาธิในระดับลึก และถือว่า เป็นช่วงที่ดีที่สุด ในการป้อนข้อมูล ให้แก่ จิตใต้สำนึก สมองสามารถเปิดรับข้อมูลได้อย่างเต็มที่และเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว มีความคิดสร้างสรรค์ เป็นสภาวะที่จิตมีประสิทธิภาพสูง ในทางการแพทย์และจิตศาสตร เองก็ถือว่าสภาวะนี้เป็นหัวใจของการสะกดจิตเพื่อการบำบัดโรค โดยหากจะตั้งโปรแกรมจิตใต้สำนึก ก็ควรทำในช่วงที่คลื่นสมองเป็นอัลฟ่าในคนทั่วไปเอง ก็ควรฝึกฝนตนเองให้ สมองทำงานอยู่ในช่วงคลื่นอัลฟ่า เป็นประจำเช่นเดียวกัน เพราะจะช่วยสร้าง ความผ่อนคลาย ร่างกายจะไม่ทำงานอยู่บนฐานแห่งความกลัว หรือ วิตกกังวล แต่จะมองชีวิต อย่างสนุกสนาน มีความรู้สึกอยากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆหรืออยากสำรวจโลกแบบเด็กๆ แต่คนส่วนใหญ่มักจะขาดการฝึกฝนให้ตนเองมีคลื่นสมองชนิดนี้และมักปล่อยให้อารมณ์อัตโนมัติตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆ อย่างรวดเร็ว ขาดการคิดใคร่ครวญ ด้วยระยะเวลาอันเหมาะสมก่อน หากเรามีการฝึกฝนจิตให้ตื่นรู้เช่นเดียวกันกับแนวทางการปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา คลื่นอัลฟ่านี้จะถูกบ่มเพาะให้เข้มแข็งขึ้น สามารถรื้อโปรแกรมอัตโนมัติเก่า สร้างโปรแกรมอัตโนมัติใหม่ๆได้

      3. คลื่นเธต้า (Theta brainwaves) มีคลื่นความถี่ประมาณ 4 - 11 รอบต่อวินาที (Hz) เป็นช่วงคลื่นที่สมองทำงานช้าลงมาก พบเป็นปรกติในช่วงที่คนเราหลับหรือมีความผ่อนคลายอย่างสูง แต่ในภาวะที่ไม่หลับคลื่นชนิดนี้ ก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน เช่น ขณะอยู่ในการภาวนาสมาธิที่ลึกในระดับหนึ่ง การเข้าสู่สภาวะนี้ จะใกล้เคียงกับ คลื่นสมองในสภาวะอัลฟ่า คือ มีความสุข สบาย ลืมความทุกข์ แต่จะมีความปิติสุขมากกว่า สภาวะนี้มีความเชื่อมโยงกับการเห็นภาพต่างๆ สมองในช่วงคลื่นเธต้าจะเปรียบเสมือนแหล่งเก็บแรงบันดาลใจ ความคิดสร้างสรรค์ที่อยู่ในความจิตใจส่วนลึกของเรา จึงเป็นคลื่นสมองที่สะท้อนการทำงานของจิตใต้สำนึก (Subconscious Mind) อันเป็นการทำงานของเนื้อสมองส่วนใหญ่ของมนุษย์ ระดับพฤติกรรมภายใต้ความถี่ของของคลื่นเธต้า เป็นลักษณะที่บุคคลคิดคำนึงเพื่อแก้ปัญหา พบได้ทั้งลักษณะที่รู้สำนึกและไร้สำนึก ปรากฏออกมาเป็นความคิดสร้างสรรค์ เกิดความคิดหยั่งเห็น (Insight) มีความสงบทางจิตและมองโลกในแง่ดี เกิดสมาธิแน่วแน่และเกิดปัญญาญาณ มีศักยภาพสำหรับความจำระยะยาวและการระลึกรู้

       4. คลื่นเดลต้า (Delta brainwaves) มีความถี่ประมาณ 0 – 4 รอบต่อวินาที(Hz) เป็นคลื่นสมองที่ช้าที่สุด สภาวะนี้จะทำให้ ร่างกายเกิดความผ่อนคลาย ในระดับที่สูงมาก เป็นคลื่นสมองที่ทำงานเชื่อมต่อกับส่วนที่เป็น จิตไร้สำนึก (Unconsciousmind) เช่น ในขณะที่ร่างกายหลับลึกโดยไม่มีการฝันหรือเกิดจากการเข้าสมาธิลึกๆ ในระดับฌาน ในช่วงนี้คลื่นสมองแสดงให้เห็นว่า ร่างกายกำลังดื่มด่ำกับ การพักผ่อนลงลึกอย่างเต็มที่ เปรียบได้กับการประจุพลังงานเข้าสู่ร่างกายใหม่ ผู้ที่ผ่านการหลับลึก ในช่วงเวลาที่พอเหมาะพอดี จะรู้สึกได้ถึงความสดชื่นกระปี้กระเปร่ามากเป็นพิเศษ เมื่อเปรียบเทียบกับ ผู้ที่นอนหลับไม่ค่อยสนิท และสำหรับผู้ที่ทำสมาธิอยู่ในระดับฌานลึก ๆ เมื่อออกจากสมาธิแล้ว ก็จะยังคงติดรสแห่งปิติสุข ทำให้เกิดความสุขใจ มีใบหน้าผ่องใสเต็มอิ่ม ไปด้วย ความสุขสดชื่นเช่นเดียวกัน

      นอกจากนี้สมองยังแบ่งการทำงานออกเป็นซีกซ้าย และซีกขวา และคลื่นสมองทั้งสองด้าน ยังมีการขึ้นลงเป็นอิสระต่อกัน ทำให้ความถี่แตกต่างกันแต่นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่า ในระหว่างการฝึกจิตทำสมาธิจะส่งผลต่อการปรับความถี่ของสมองทั้งสองด้านให้ขึ้นลงเหมือนกัน กราฟของคลื่นสมองทั้งสองด้าน มีรูปร่างคล้ายตุ๊กตา เป็นลักษณะที่เรียกว่า Synchronization ซึ่งการเกิด Synchronization นี้จะทำให้เกิดพลังจิตที่เพิ่มขึ้นในมนุษย์เป็นภาวะพิเศษแห่งการตื่นรู้ของจิต (Awakened Mind) นักวิชาการ ทางการแพทย์ และผู้ศึกษาและพัฒนาจิตเพื่อ สุขภาพ กล่าวว่า เมื่อเราสามารถเข้าไปสู่ จิตใต้สำนึกหรือถึงระดับ จิตไร้สำนึกได้บ่อยๆ โดยที่มี จิตสำนึกกำกับอยู่ ก็จะ จำได้และสามารถลงไปสู่แหล่งข้อมูล มหาศาล ได้บ่อยมากขึ้นเร็วมากขึ้น ข้อมูลที่ได้จาก จิตใต้สำนึกและ จิตไร้สำนึกนั้น เป็นข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ จะออกมาในลักษณะที่เรียกว่า ญาณทัศนะ’ (Intuition) หรือ ปิ๊งแว๊บ หรือ ยูเรก้า ซึ่งเป็นชุดภาษาอีกแบบหนึ่ง ที่อาจจะไม่ใช่คำพูด แต่มีความพอเหมาะพอดีแบบที่คาดไม่ถึง"

        เราได้เรียนรู้ว่า ขณะที่สมองทำงานอยู่ในช่วงคลื่นอัลฟ่า เธต้า และเดลต้า จะช่วยให้เราผ่อนคลายและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่สภาวะ ปัจจุบัน เกือบทุกสิ่งรอบตัวต่างเต็มได้ด้วยความเร่งด่วน นับตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เราก็อยู่ในโลกแห่งความเร่งรีบเสียแล้ว ชีวิตมีแต่การบ่มเพาะว่า ทุกอย่างต้องรวดเร็ว หากช้าจะไม่ทันการณ์ สมองของคนส่วนใหญ่จึงทำงานอยู่ในเฉพาะช่วงคลื่นเบต้าเป็นหลัก ในขณะเดียวกันเราก็ปล่อยให้การสั่งการของโปรแกรมอัตโนมัติทางอารมณ์ทำงานไปตามยถากรรมแบบดีบ้างไม่ดีบ้าง คุ้มดีคุ้มร้ายสุดแต่ว่าจะมีอะไรเข้ามากระทบ เราขาดการฝึกฝนจิต ให้มีความชำนาญในการคิดอย่างใคร่ครวญก่อนตอบสนอง

        จะเห็นว่า ในทางปฏิบัติ เรื่องสำคัญอันดับแรกที่จะทำให้เราปรับคลื่นสมองได้ คือ เราต้องรู้ตัวและฝึกการรับรู้อารมณ์ให้ได้ก่อน มีเทคนิค ที่สามารถนำมา ใช้ได้ตลอดเวลาในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา จากหนังสือชื่อ บายพาสอารมณ์ของ นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์ ได้ให้แนวคิดว่า ตลอดเวลาที่เราตื่นกันอยู่ ประมาณ 16 ชั่วโมงต่อวันนั้น เราเคยสนใจลมหายใจของเราหรือไม่ ง่ายๆ แค่ว่ารู้ตัวว่า เราหายใจเข้า รู้ตัวว่าเราหายใจออก ก็นับเป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางใหม่ ของปฏิกิริยาชีวเคมีในสมองแล้ว การฝึกรับรู้ ลมหายใจ นี้เป็น แบบฝึกหัดเริ่มต้นแบบง่ายๆ ในขณะที่การฝึกรับรู้อารมณ์จะยากกว่า แต่ถ้าเราฝึกตัวรู้เรื่อง ลมหายใจ ได้ก็เสมือน ได้พัฒนาช่องทางการรับรู้อื่นด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นพุทธศาสนา โยคะ ซี่กง จึงเน้นความสำคัญเรื่อง การฝึกลมหายใจเหมือนกัน

      ในการฝึกรับรู้อารมณ์นี้ นพ.วิธาน แนะนำว่าให้ลองเฝ้าดูอารมณ์ที่เกิดขึ้น โดยใช้วิธีสมมติว่ามีตัวเราอีกคนหนึ่ง กำลังเฝ้าดูตัวเรา คนที่ที่กำลังมีอารมณ์นั้น ๆ หากเป็นอารมณ์ในทาง บวกหรืออารมณ์ กลางๆ ก็ให้เฝ้าดูและดื่มด่ำกับอารมณ์นี้อย่างรู้ตัว ไม่หลงระเริงไปกับมัน แต่ถ้าเป็นอารมณ์ ลบก็เพียงเฝ้าดูอีกเช่นกัน เสมือนหนึ่งการชำเลืองดูลูกน้อยที่กำลังทำผิดโดยที่ไม่ไปทะเลาะด้วย พยายามให้ความสำคัญกับตัวเราคนที่เฝ้าดู อย่าไปโฟกัสกับตัวเราคนที่กำลังเกิดอารมณ์โกรธ วิตกกังวล หรือ อารมณ์ไม่ดี อยู่ในขณะนั้น ด้วยหลักการของพลังงานมีขึ้นลง ไม่จำเป็นต้องระเบิด เพื่อระบายอารมณ์ ในที่สุดตัว เราคนที่กำลังโกรธ จะค่อยๆ คลายไปเอง การสร้างเส้นทางใหม่ของอารมณ์นี้ จะค่อยๆเปลี่ยนพลังด้านลบออกไปเป็น พลังด้านบวก เพียงเฝ้าดูแบบยิ้มๆเท่านี้เอง วิธีนี้ทางพุทธศาสนามีมากว่า สองพันปีแล้ว และเป็นเส้นทางที่ได้ผลดีมาก แต่เราต้องใช้ความพยายามในการฝึกฝนบ่อยๆ ต้องใช้เวลา
อาจได้บ้างไม่ได้บ้างในระยะแรกๆแต่ถ้าทำบ่อ ๆจะเกิดความชำนาญขึ้นเอง โดย นพ.วิธาน ให้ข้อคิดว่า ทุกวันนี้ เราต่างมีเวลา สร้างสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นมากมาย ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะสร้างเส้นทางใหม่ให้กับอารมณ์ของเราเอง และเทคนิคใน การเฝ้าดูอารมณ์ ของตนเองนี้ เปรียบเสมือนการล้างพิษหรือดีท็อกซ์ของจิตใจที่ดีมากวิธีหนึ่ง

       ความเข้าใจกลไก การทำงานแห่งโลกภายในตนเอง มีส่วนอย่างมากในการช่วยให้มนุษย์สามารถพัฒนาจิตใจและคุณภาพภายใน และเป็นเรื่องที่ไม่ได้ แยกขาดจาก การดำเนินชีวิตของเราแต่อย่างใด เมื่อนำไปประกอบกับ วิชาความรู้ ที่เราศึกษาเพิ่มเติม จากโลกภายนอก จะทำให้ความรู้ของมนุษย์ เกิดความสมดุล สามารถระลึกรู้และใช้ปัญญากำกับได้ ดังนั้นไม่ว่าใคร จะมีบทบาทอยู่ใน หน้าที่ใดในสังคม ก็จะสามารถเลือกใช้วิชาการต่างๆ ที่เป็นประโยชน์มาประสานเชื่อมโยงกันอย่างชาญฉลาด ภายใต้ความเมตตาและจิตสำนึกต่อส่วนรวม

ก่อนนอน ลองฟังเพลงปรับจูนคลื่นสมองด้วยคลื่นความถี่เบต้า เพื่อช่วยให้เพื่อนๆหลับลึกและมีสมาธิ....ฝันดีนะคะทุกๆคน

จาก https://www.youtube.com/watch?v=roDv_9RcEn0



Resource: สำนักหอสมุดและศูนย์สารสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี



Saturday, February 21, 2015

Review หนัง UNBROKEN- Review Movie UNBROKEN



        ผู้เขียนเพิ่งกลับจากดูหนัง Unbroken หมาดๆ ด้วยความประทับใจและซาบซึ้งมากๆจนแอบน้ำตาซึม....คนกำลังเหนื่อยๆต้องการแรงบันดาลใจพอดี เลยขอแชร์ปความประทับใจให้เพื่อนๆฟังนะคะ ใครดูมาแล้วก็อย่าลืมแบ่งปันความคิดเห็นบ้างนะคะ



      Unbroken เป็นผลงานการกำกับและอำนวยการสร้างโดย แองเจลินาโจลี ซึ่งเป็นอีพิคดรามาที่ติดตามชีวิตอันเหลือเชื่อของหลุยส์ ลูอี้” แซมเพอรินี ฮีโรสงครามและโอลิมปิค ที่จะมาสร้างแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตของคุณ แองเจลินา โจลี เจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ลงมือกำกับและอำนวยการสร้าง Unbroken หรือ คนแกร่งหัวใจไม่ยอมแพ้ อีพิคดรามาที่ติดตามชีวิตอันเหลือเชื่อของหลุยส์ ลูอี้” แซมเพอรินี (แจ็ค โอ’ ดอนเนลล์) ฮีโรสงครามโลกและโอลิมปิค ผู้ที่รอดชีวิตจากการลอยอยู่บนแพนาน 47 วัน ร่วมกับลูกเรืออีกสองคน หลังจากเหตุเครื่องบินตกในสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ทำให้เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่เขากลับถูกกองทัพเรือญี่ปุ่นจับตัวได้และถูกส่งไปเป็นนักโทษในค่ายกักกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงจากหนังสือเบสต์เซลเลอร์ของลอร่า ฮิลเลนแบรนด์ (ผู้เขียน “Seabiscuit : An American Legend”) โดยเล่าเรื่องราวชีวิตอันเหลือเชื่อของแซมเพอรินี ในรูปแบบของภาพยนตร์ ..ลองดูOfficial Trailer กันนะคะ   




         หนังยาวประมาณ 3ชั่วโมง ดูเสร็จออกมาจากโรงจิตใจให้ฮึกเหิมขึ้นมาทันที (หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาหลายวัน..แอบท้อนิดๆด้วยแหละ..อิอิกับประโยคเด็ดของหนัง  If you can take it, you can make it” ถ้านายทนได้นายก็จะรอดที่ช่วยย้ำเตือนหัวใจว่า ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆแต่ถ้าเราอดทนกับสิ่งต่างๆได้ เราก็จะชนะ เราก็จะรอดได้นั่นเอง ข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้ คือ
  • ถ้าเราสามารถอดทนต่อสิ่งต่างๆได้ เราก็จะรอดได้
  • มนุษย์สามารถเป็นสิ่งที่วิเศษได้มากกว่าที่เราคิดขอเพียงแต่มีความตั้งใจ
  • ในยามที่วิกฤติที่สุดของชีวิต ศรัทธาและความเชื่อที่แข็งแกร่งและสติจะช่วยเราได้ ซึ่งพลังนี้อาจทำให้เราสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดพื้นฐานของมนุษย์ได้ จากในหนังจะเห็นว่าZamperini กับเพื่อนทหารอีก คนลอยอยู่กลางทะเลอ้างว้างถึง47 วัน และต้องดิ้นรนจับปลาเป็นอาหาร เสี่ยงกับฉลามที่ว่ายอยู่รอบตัว พายุ และแดดที่แผดเผาจนผิวหนังไหม้เกรียม
  • ชัยชนะที่แท้จริงไม่ใช่ชัยชนะที่มาจากการชนะสงครามหรืออยู่เหนือศัตรูได้ แต่มาจากจิตใจที่เข้มแข็งกว่า เห็นได้จากตอนที่ “ ไอ้นก” ผู้บัญชาการค่ายญี่ปุ่นที่พระเอกถูกกักตัว รู้สึกพ่ายแพ้ต่อความเข้มแข็งของพระเอกจนต้องทรุดตัวลง แต่ก็ยังอดระบายความพ่ายแพ้อับอายไม่ได้ด้วยการกระหน่ำซัดพระเอกจนน่วมกันเลยทีเดียว
  • มนุษย์เราบางทีก็ไม่ได้เกิดมาพร้อมความสามารถพิเศษหรือสิทธิพิเศษอะไร แต่ด้วยการฝึกฝนอย่างพากเพียรก็สามารถทำให้เรายิ่งใหญ่ได้
  •  ยิ่งเจอภัยและเรื่องเสี่ยงๆมากเราก็จะได้รับรางวัลแห่งชีวิตมากขึ้นในการที่เราจะสามารถมีความอดทนต่อสิ่งอันเป็นทุกข์และไม่พึงปรารถนาได้มากขึ้น
  • อย่าให้ใครกำหนดหรือตีตราเราด้วยความล้มเหลวผิดพลาดที่ผ่านมา ดูได้จาก Zamperini ในวัยเด็กเกเรมากจนตำรวจท้องถิ่นรู้จักกับพ่อแม่เป็นอย่างดี แต่ด้วยการตั้งต้นใหม่และการได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสม ประกอบกับการพัฒนาตนเอง Zamperini จึงสามารถประสบความสำเร็จได้
  • สำหรับสงครามนั้นไม่มีผู้ชนะอย่างแท้จริง ทั้งฝ่ายชนะหรือแพ้ ก็ต้องสูญเสียทั้งสิ้น
  •  การได้รับการสนับสนุนจากผู้คนที่เชื่อมั่นในตัวเรานั้นสำคัญมาก เพราะเค้าเหล่านั้นจะช่วยตักเตือนและนำพาเรากลับมาหากเราหันเหออกจากเส้นทาง ดังนั้น เราควรพาตนเองให้ไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่จะได้รับการส่งเสริมให้เราไปถึงจุดมุ่งหมายและมีผู้คนหรือสถานการณ์ที่จะช่วยดึงส่วนที่ดีที่สุดของเรา
  • โลกมนุษย์นั้นผู้คนมีหน้าที่ต่างๆกันไป หน้าที่บางหน้าที่นั้น บางทีก็ถูกบีบคั้นหรือตีกรอบให้มนุษย์ต้องทำสิ่งที่ขัดกับมโนธรรม เช่น ทหารที่ต้องปฏิบัติกับเชลยศัตรูอย่างไร้ปราณี เพื่อการปรามให้อยู่หมัดหรือเพื่อแสดงซึ่งความจงรักภักดีต่อชาติของตน  แต่บางคนก็อาจทำเพราะชดเชยปมในใจ เช่น ไอ้นก ที่เป็นลูกคนรวยและใฝ่ฝันจะเป็นนายทหารใหญ่ พอได้มีบทบาททางทหารก็เลยค่อนข้างจะบ้าอำนาจ
  • สงครามทำให้เกิดความเจ็บปวดและบาดแผลในความทรงจำแก่ผู้ที่ประสบจนยากที่จะลบเลือน แต่ทางเดียวที่เราจะลืมความปวดร้าวนั้นได้ ไม่ใช่การแก้แค้น แต่คือการให้อภัย  
        สุดท้ายนี้ขอบอกเพื่อนๆทุกคนว่า อย่ายอมแพ้ อย่ายอมแพ้ และอย่ายอมแพ้
       ก่อนนอนมาฟังเพลงประกอบหนังเพราะๆจาก Cold Play ชื่อเพลง Miracle กันนะคะ







Thursday, February 19, 2015

ดอกไม้เหล็กในแจกันศิลปะใบใหญ่ : สมบัติ วัฒนไทย กรรมการผู้จัดการสมบัติเพิ่มพูนแกลเลอรี่ (Sombatpermpoon Gallery)




     แม้จะมีผู้กล่าวไว้ว่า “จิตวิญญาณศิลปะที่แท้จริงนั้นไร้เพศพันธุ์” ทว่าในโลกของความเป็นจริง ศิลปะล้วนดำเนินอยู่บนวิถีชีวิตของหญิงและชายมากมาย ยิ่งในโลกของธุรกิจศิลปะด้วยแล้ว น่าสนใจยิ่งว่าเพศพันธุ์มีบทบาทมากน้อยเพียงใด

     สมบัติ วัฒนไทย กรรมการผู้จัดการสมบัติเพิ่มพูนแกลเลอรี่ เป็นอีกผู้หนึ่งที่ดำเนินชีวิตมาบนถนนแห่งศิลปะอันยาวไกลเส้นนี้ ในฐานะผู้จัดการศิลปะ(Art Dealer) ผู้มีหน้าที่สำคัญในการสร้างคุณค่าของงานศิลปะให้เป็นรูปธรรมและอยู่ในสายตาของสังคมมานานกว่า 20 ปี สำหรับผู้หญิงที่เลือกเดินบนถนนธุรกิจแล้ว ความยากลำบากย่อมมีบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งธุรกิจนั้นเกี่ยวข้องกับงานศิลป์อันศิวไลซ์ ความยากง่ายจึงท้าทายอย่างที่สุด

ไฮคลาส: จุดเริ่มต้นของ Art Dealer มืออาชีพ

     อันที่จริงดิฉันไม่ได้เรียนมาทางด้านศิลปะเลย แต่อาศัยเพียงสิ่งแวดล้อมในบ้าน ซึ่งคุณพ่อเปิดบริษัทรับเขียนโปสเตอร์ ซึ่งเราก็มองว่าเป็นงานศิลปะแบบ 3 เดือน 6 เดือน ก็ต้องรื้อทิ้ง ปัจจุบันนี้เปลี่ยนจากการเขียนด้วยมือมาใช้เทคโนโลยีอิ้งค์เจ็ทแทนแล้ว แต่เมื่อก่อนนั้น เวลาจะเขียนป้ายซึ่งส่วนมากจะใช้ในการโฆษณาหนังและสินค้า จะต้องเตรียมวัสดุที่จะใช้ ตั้งแต่โครงไม้ แปรง สี และผ้า จากนั้นก็เขียนออกมาเป็นชิ้นงานโฆษณาหนังและสินค้า ซึ่งงานพวกนี้ดิฉันเห็นและคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กๆ ทำให้ซึมซาบมาโดยตลอดและถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ดิฉันหันมาสนใจงานด้านศิลปะ ต่อมาเมื่อมีบ้านเป็นของตัวเองก็เริ่มหาซื้อภาพศิลปะมาตกแต่งบ้านบ้าง เก็บสะสมมาเรื่อยๆ หลังจากที่ช่วยสามีบริหารงานที่บรัทมาระยะหนึ่ง ดิฉันก็เริ่มมีความคิดอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองบ้าง จากนั้นก็เริ่มต้นทำแกลเลอรี่ครั้งแรกที่ถนนสีลม เมื่อปี พ.ศ.2522 ใช้ชื่อว่า โฟร์อาร์ต แกลเลอรี่ ต่อมาในปี พ.ศ.2525 จึงมาเปิดร้านที่ศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ ชื่อ โฟร์อาร์ต แกลเลอรี่ ปี 2527 เปิดร้านที่โรงแรมรอยัลออคิดเชอราตัน ชื่อ สมบัติแกลเลอรี่ ปีต่อมา จึงเปิดสมบัติแกลเลอรี่ที่โรงแรมดุสิตธานี ต่อมาในปี 2535 ก็เปิดสมบัติเพิ่มพูนที่โรงแรมสยามอินเตอร์คอนทิเนนทัล ปี 2536 เปิดสมบัติเพิ่มพูนแกลเลอรี่ที่โรงแรมฮิลตันพรอมานาด ปาร์คนายเลิศ

  ในระหว่างนั้นดิฉันก็ฝันไว้ว่าอยากจะมีแกลเลอรี่ขนาดใหญ่ของตัวเองเพื่อเก็บรวบรวมผลงานที่เรามีไว้ทั้งหมด จนกระทั่งปี  2538 ดิฉันได้มาซื้ออาคาร6 ชั้น เนื้อที่ประมาณ 6 ไร่ ที่ซอยสุขุมวิท 1 เพื่อเปิดเป็นแกลเลอรี่เก็บรวบรวมงานศิลปะทั้งหมดมาไว้ที่นี่แห่งเดียว แล้วทยอยปิดร้านเล้กๆทั้งหมด เพราะว่าแกลเลอรี่ที่เปิดใหม่ที่ซอยสุขุมวิท1 คือสมบัติเพิ่มพูนแกลเลอรี่นี้ มีพื้นที่ใหญ่โตกว้างขวางถึง  5 ชั้น สามารถโชว์ภาพต่างๆได้มากมายและมีที่จอดรถที่สะดวกสบาย

เยี่ยมชมสมบัติเพิ่มพูนแกลอรี่ โดยรายการ All Style
https://www.youtube.com/watch?v=1zVtMOCepxg




 ไฮคลาส: ตลอดเวลาที่ผันตัวเองมาทำธุรกิจด้านศิลปะนี้ ครอบครัวมีส่วนช่วยสนับสนุนอย่างไร

       อันที่จริงสามีมีส่วนช่วยเป็นกำลังใจและเป็นที่ปรึกษามาตลอด เพราะธุรกิจเดิมของครอบครัวซึ่งทำป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ คือ บริษัท โฟร์อาร์ต (1994) จำกัด ซึ่งเปิดกิจการมากว่า 50 ปี มีส่วนเชื่อมโยงกันได้  นอกจากนี้เราเองยังมีส่วนได้เครดิตและความเชื่อถือจากบริษัท โฟร์อาร์ต (1994) เป็นอย่างดี ครอบครัวเราทุกคนรักงานศิลปะกันมากและมีความเข้าใจในตัวดิฉันที่มีความมุ่งมั่นจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งดิฉันถือว่าเป็นความสำเร็จของชีวิตดิฉัน
ไฮคลาส:คุณมีแนวทางในการบริหารธุรกิจอย่างไรโดยเฉพาะการอบรมพนักงานซึ่งมีจำนวนมากและต้องอาศัยความรู้เฉพาะทาง

      สมบัติเพิ่มพูนแกลเลอรี่เป็นแกลเลอรี่ที่ใหญ่มากๆ และเราต้องต้อนรับแขกหลายระดับ ตั้งแต่ผู้หลักผู้ใหญในบ้านเมือง เอกอัครราชทูต มหาเศรษฐีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ศิลปินชั้นครู ไปจนถึงนักท่องเที่ยวและผู้ที่มีความสนใจในงานศิลปะ เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดนอกเหนือจากคุณภาพและความซื่อตรงแล้วก็คือการบริการ เพราะฉะนั้นดิฉันจึงอบรมดูแลพนักงานในแกลเลอรี่ทุกคนเสมอว่า ต้องยิ้มแย้มแจ่มใส อัธยาศัยไมตรีต้องดี คอยดูแลลูกค้าทุกคนที่เข้ามาในแกลเลอรี่ของเราอย่างดีที่สุดและเท่าเทียมกัน ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร จะซื้อหรือไม่ก็ตาม เพราะเราไม่ได้เน้นที่จะต้องขายได้แต่อย่างเดียว เรายินดีต้อนรับผู้ที่จะเข้ามาชมงานเพื่อเป็นวิทยาทาน

ไฮคลาส: ความเป็นผู้หญิงเป็นอุปสรรคในการทำธุรกิจหรือไม่

     ย้อนกลับไปเมื่อปี2525 ซึ่งดิฉันเริ่มทำแกลเลอรี่ตอนนั้นจะมีแต่ผู้ชายถึงตอนนี้ก็มีผู้หญิงไม่มากนัก ส่วนศิลปินเอง ก็จะมีศิลปินผู้ชายประมาณ 90% ที่เป็นผู้หญิงก็แค่ 10% มันอาจชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ศิลปินอาจจะไม่ค่อยให้ความเชื่อถือกับความไม่มั่นคงทางอารมณ์และการตัดสินใจของผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงที่จะไปซื้องานของเขา โชคดีที่ตัวดิฉันไม่มีนิสัยหยุมหยิม ดิฉันมีอุดมการณ์ชัดเจน เรียกได้ว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในความเชื่อมั่นและมุ่งมั่นให้ความสำคัญที่ตัวงาน มีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้ตัดสินใจไปแล้ว ไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิด เพราะฉะนั้นสำหรับตัวดิฉันความเป็นผู้หญิงจึงไม่มีผลกระทบในการทำธุรกิจ ช่วงแรกๆอาจจะท้าทายหน่อย แต่ก็สนุก ที่สำคัญคือเราพูดแต่ความจริง มีอะไร อย่างไร เราก็บอกเขาไปตามจริง การติดต่อกับคนนั้น หากเราเอาความจริงเข้าพูดแล้ว เมื่อมีปัญหาเขาอาจช่วยเราแก้ไขก็ได้  ดิฉันเป็นคนที่ชอบพูดดะไรตรงไปตรงมา ตัดสินใจเร็ว ไม่รวนเร นิสัยอย่างนี้ ผู้ชายบางคนอาจจะมีไม่เหมือนดิฉัน ที่สำคัญคือดิฉันไม่เคยเสียชื่อในเรื่องของเครดิต ศิลปินทุกคนที่มี Contact กับดิฉันจะสบายใจ เพราะฉะนั้น ร่างกายของดิฉันเป็นผู้หญิงก็จริง แต่จิตใจเป็นผู้ชายเต็มเปี่ยม

ไฮคลาส: คุณคิดอย่างไรที่โบราณพูดว่า ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง

     อันที่จริง ช้างมีสี่เท้า หากขาดเท้าใดเท้าหนึ่ง ไม่ว่าเท้าหน้าหรือเท้าหลังก็คงไม่สมบูรณ์ (หัวเราะ) โดยส่วนตัวแล้วไม่ได้คิดเรื่องนี้เท่าไร ในการทำงานดิฉันไม่เคยคิดที่จะแข่งกับผู้ชายเลย คิดเสมอว่ายังไงเราก็สู้ผู้ชายไม่ได้ ซึ่งเราก็ควรยอมรับ เพราะว่าในความเป็นจริงของสังคม โอกาสและสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยให้กับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง

ไฮคลาส: นักธุรกิจหญิงดูแลครอบครัวอย่างไร

     สำหรับตัวดิฉันเอง เรื่องนี้ไม่เคยเป็นปัญหา ตอนลูกยังเล็กๆ ดิฉันมักตื่นตั้งแต่ตีสี่ ตีห้า และพยายามหลีกเลี่ยงงานสังคมที่ไม่สำคัญ เพื่อจะได้อยู่กับลูกๆให้มากที่สุด ยอมรับว่าตอนนั้นความทุกข์ของเราคือการคิด และกังวลแทนลูก เพราะว่าเขายังเด็กกันอยู่ ก็กลัวนั่น กลัวนี่ไปเรื่อยๆ คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็มักประสบกับความทุกข์แบบนี้คล้ายๆกัน คือลูกไม่ได้มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก แต่เพราะความที่เรารักลูก ก็กังวลเรื่องต่างๆแทนเขา แต่ตอนนี้หมดห่วงแล้ว เพราะลูกๆโตกันหมด ปัจจุบันลูกคนโตจบปริญญาโทที่อเมริกา ลูกชายคนสุดท้องจบปริญญาตรี ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาวิชาภูมิสถาปัตย์ ตัวดิฉันเองอยู่ในวงการนี้มาร่วม 30 ปีแล้ว วางแผนการณ์ในอนาคตไว้ว่า จะให้ลูกสาวคนที่ 3 ซึ่งเรียนจบปริญญาโทสาขาวิชา Art and Cultural Management จาก Pratt Institute ประเทศสหรัฐอเมริกา ดำเนินการสานต่องานทางด้านนี้ เพราะเขาเรียนมาตรงสาย ที่สำคัญคือเขามีหัวทางด้านนี้มาก บางที่เขาสามารถปิดการขายได้เร็วและได้ผลดีกว่าเราอีก เขามีพรสวรรค์ (หัวเราะ) ตราบใดที่ดิฉันยังมีลมหายใจอยู่ งานศิลปะก็จะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตดิฉัน เมื่อยามแก่เฒ่าให้ลูกสาวมาบริหารต่อ ดิฉันก็คือเสาหลักที่จะให้การศึกษาและความอบอุ่นตลอดจนกำลังใจแก่เขาไปตลอดชีวิต สำหรับเรื่องครอบครัว ดิฉันถือว่าตัวเองโชคดีมาก เพราะว่าลูกๆเข้าใจงานของพ่อแม่เป็นอย่างดี ทั้งที่พ่อกับแม่ต่างคนต่างก็ยุ่งเรื่องธุรกิจ ลูกๆจึงตั้งใจเรียนจนประสบความสำเร็จกันทุกคน ดิฉันมีความภาคภูมิใจในครอบครัวดิฉันมาก ลูกๆเคยบอกดิฉันว่าพวกเขามีความภาคภูมิใจที่ได้เกิดเป็นลูกของพ่อแม่ เราเป็นครอบครัวที่อบอุ่นมาก

ไฮคลาส: คุณดูแลตัวเองอย่างไรบ้าง 

      ดิฉันเป็นคนที่รักสวยรักงามเป็ฯอันดับหนึ่ง โดยพาะเรื่องเสื้อผ้าและการดูแลผิวพรรณจะเน้นเรื่องใบหน้ามากเพราะกลัวแก่ ย่น (หัวเราะ) ดิฉันเป็นคนที่ไม่ชอบการนอนดึก เดี๋ยวผิวพรรณไม่สวย รับประทานอาหารให้ครบ5หมู่ ออกกำลังกายบ้างเป็นบางครั้ง ดิฉันอายุย่างเข้า55 ปีแล้วจึงต้องดูแลสุขภาพแต่ที่ดิฉันไม่ได้ดูแก่กว่าอายุจริงของดิฉันเลยอาจเป็นเพราะดิฉันมีสุขภาพจิตดี เพราะมีครอบครัวที่ดี

ไฮคลาส: ปรกติแต่งตัวสวยอย่างนี้ทุกวันหรือไม่

     ต้องยอมรับว่าเรื่องการแต่งตัวแต่งหน้านั้น เป็นสิ่งแรกที่คนจะเห็นเราแล้วประทับใจเรา เพราะฉะนั้นดิฉันจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก แต่เราก็ต้องดูเสื้อผ้า และการแต่งหน้าที่เข้ากับบุคลิกของเรา ดิฉันชอบเสื้อผ้าของ Giorgio Armani มากเพราะงานของเขาเป็นงานที่ปราณีต มีโครงเส้นของเสื้อผ้าที่สวย เรียบ แต่เก๋ และหรู เหมาะกับบุคลิกของเรา แต่ถ้าเป็นกาง รู้สึกว่า Escada จะทำได้ดี มีทรงที่สวยและเข้ากับดิฉันมากแต่เป็นคนที่จะเน้นแต่งตัวให้เข้ากับวัยและกาลเทศะเป็นสำคัญ ถามว่าในตู้เสื้อผ้ามีชุดจำพวกเสื้อยืดไหม ก็ต้องบอกว่ามีแน่นอน แต่เราก็จะใส่เมื่อเวลาและโอกาสอำนวยเท่านั้น

ไฮคลาส: คุณตั้งเป้าหมายชีวิตไว้อย่างไร

    วางจุดหมายของชิวิตตัวเองไว้ว่า จะดูแลแกลเลอรี่แห่งนี้อยู่ ช่วยเหลือสังคมบ้างถ้ามีโอกาส และถ้าลูกสาวคนโตมีหลานให้ดิฉันเมื่อไร ดิฉันก็จะบินไปเยี่ยม เพราะลูกสาวดิฉันแต่งงานกับคนเกาหลีได้ 3 ปีแล้ว ยังไม่มีบุตรเลย พวกเขาเปิดคลินิกรักษากระดูกชื่อ JP Chiropractic& Posture Matthews, NC.อยู่ที่สหรัฐอเมริกา

ไฮคลาส: ใครเป็นบุคคลต้นแบบของคุณ

    ไม่เคยใช้ใครเฉพาะเจาะจงมาเป็นต้นแบบเลย แต่จะสนใจคนที่ทำธุรกิจด้วยความพยายามจนได้รับความสำเร็จ เวลามองคนที่เขาเริ่มต้นชีวิตมาจากที่ไม่มีอะไรเลย แล้วพยายามสร้างเนื้อสร้างตัวจนได้ดี แล้วรู้สึกชื่นชม คนเหล่านี้ต้องใช้ความสามารถและความพยายามอย่างมากแต่สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับชีวิตที่จะประสบความสำเร็จนั้น มันก็คล้ายๆกับหลักของความพอเพียง       อย่างเรามีเท่านี้เราว่าเราพอแล้ว เรารวยแล้ว แต่กับคนอื่นเขาอาจจะยังไม่พอ หรือเขาบอกว่าเขามีเงินล้านเดียวเขาก็รวยแล้ว พอแล้ว ก็ถือว่าเขาประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้นไม่ได้คิดเลยว่าคนที่ประสบความสำเร็จต้องมีเงินเท่านั้นเท่านี้ แค่มีเท่าที่เขาจะพอ ก็สำเร็จแล้ว ส่วนตัวก็เหมือนคนอื่น มีที่พึ่งทางจิตใจบ้าง เรื่องเจ้าที่ เรื่องฮวงจุ้ย มีคนเขาแนะนำให้ดู เราก็ไม่เห็นเป็นเรื่องเสียหาย ซินแสมาดูเขาก็ว่าเราวางที่ วางตำแหน่งไว้ดีแล้ว แค่ต้องเปลี่ยนสี เปลี่ยนอะไร นิดๆหน่อยๆ แค่นั้น แต่สิ่งที่เชื่อถือมากที่สุดก็คือความซื่อสัตย์ ความซื่อตรง ความรับผิดชอบ ความตั้งใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถพยุงเราไปได้เรื่อยๆ ดิฉันเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาก เวลาไปไหนๆก็จะซื้อหนังสือกลับมาเก็บไว้ มีเวลาก็ได้อ่าน เพราะฉะนั้นดิฉันมีหนังสือเยอะมากๆ โดยเฉพาะหนังสือที่เกี่ยวกับจิตวิทยา เคยไปบวชเนกขัมบารมีอยู่พักหนึ่ง ระหว่างนั้นมีเวลาก็จะอ่านหนังสือ แล้วก็ศึกษาธรรมมะ ทำให้ได้เห็นว่า อ๋อ...ที่แท้แล้วธรรมมะก็คือจิตวิทยานั่นเอง เหมือนกันเลย

ไฮคลาส: คุณมองว่าปัญหาของธุรกิจ Art Dealer ในเมืองไทยคืออะไร ในฐานะที่คุณอยู่ในวงการนี้มานานตั้งแต่ยุคบุกเบิก

    คนที่จะทำธุรกิจด้านนี้ได้ อันดับแรกเลยคือต้องมีใจรัก มีทุนสำรองเพื่อซื้อผลงานใหม่ๆและดีๆเข้ามาในแกลเลอรี่เสมอๆเพื่อให้ทันกับโลกปัจจุบัน สถานที่ หรือทำเลที่ตั้งก็มีส่วนช่วยมากๆ และสำคัญเป็นอันดับต้นๆ อย่างแกเลอรี่ของดิฉันสามารถคุยได้เต็มปากเลยว่าใหญ่ที่สุดในเมืองไทย มีพื้นที่สำหรับจัดแสดงงานศิลปะหลายพันตารางเมตร สามารถจอดรถได้มากถึงกว่า 30 คัน แต่กว่าดิฉันจะตัดสินใจซื้อทำเลแห่งนี้ได้ ก็ต้องคิดอยู่นานเพราะมันเป็นเงินจำนวนมาก และซื้อขายในช่วงเศรษฐกิจย่ำแย่ด้วย การทำธุรกิจนั้น ดิฉันยึดหลักความมั่นคงแน่นอน และค่อยเป็นค่อยไป ไม่ก้าวกระโดด อันที่จริงช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราก้าวกระโดด เพราะเราก้าวจากแกเลอรี่ขนาดเล็กในโรงแรม มาสร้างเป็นแกลเลอรี่ใหญ่แบบนี้ แต่ตอนนั้นเราโชคดีมากที่ผ่านมาไดและคิดว่าคงจะไม่ก้าวกระโดดแบบนั้นอีกแล้วเพราะเสี่ยงมาก ช่วงที่เศรษฐกิจย่ำแย่ ประมาณปี 2540 เป็นช่วงที่เครียดและหวาดกลัวมาก แต่เราก็ดำเนินนโยบายที่เน้นความซื่อตรง และโปร่งใส จนได้รับความไว้วางใจมาโดยตลอด เรียกว่ามีเครดิตที่ดีมาก เราถึงยืนอยู่ได้จนปัจจุบันนี้ สบายแล้ว เราไม่มีหนี้สิน และกลายเป็นแกลเลอรี่คุณภาพ ถ้าจะให้ใช้เงิน 1 บาทเสี่ยงลงทุนเปล่าๆ ต่อทุนตั้ง 9 บาท คงไม่เอาอีกแล้ว เมื่อมองโดยภาพรวมแล้ว ดิฉันมีความคิดว่า ณ ปัจจุบันนี้ นับว่าประเทศไทยเราเป็นประเทศที่โชคดีกว่าหลายๆประเทศ เพราะเรามีศิลปินที่มีผลงานคุณภาพสูง มีแกลเลอรี่เกิดใหม่หลายๆที่ตามจังหวัดใหญ่ทำให้วงการศิลปะของเราเจริญก้าวหน้ามากในสายตาของนักท่องเที่ยว

ไฮคลาส: ทราบมาว่าคุณเองก็เป็นนักสะสมงานศิลปะเช่นกัน

    ในฐานะนักสะสมงานศิลปะ ดิฉันชื่นชมและศรัทธาในผลงานของศิลปินเกือบทุกคน เพราะศิลปะเป็นวัตถุที่แฝงไว้ด้วยจิตวิญญาณ และความรู้สึกที่ซ่อนเร้น เคยสังเกตดูว่า ภาพเขียนนั้น เวลาเราทิ้งเขาเอาไว้ ไม่ดูแล เขาจะแลดูแห้งเหี่ยวไม่มีชีวิตชีวา เฉาเหมือนคนใกล้ตาย แต่เวลาที่เราดูแลเอาใจใส่ จับบ่อยๆ ดูบ่อยๆ ลูกคลำ เปลี่ยนย้ายที่เสมอๆ ดูเขามีชีวิตชีวา สวยสดใส ถ้าเป็นของในร้านก็รู้สึกว่าจะขายได้เสมอๆ เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่พยายามจัดร้านอยู่บ่อยๆ พูดไปก็คล้ายกับพระเหมือนกัน พระพุทธรูปนั้นเวลาเรากราบไหว้บ่อยๆก็ศักดิ์สิทธิ์ไปเอง แต่ถ้าทิ้งเอาไว้ ไม่บูชา พระก็เสื่อมได้เหมือนกัน อันนี้เป็นเรื่องของศรัทธา คือใจที่มีพลัง ถ้าถามว่าชอบผลงานศิลปะแนวไหน ขอตอบว่าชื่นชอบทุกแนว ทุกสไตล์ แต่เน้นที่บรรยากาศสุขุม นิ่ง เงียบ เป็นพิเศษ เช่นงานของ อาจารย์สุรสิทธิ์ เสาว์คง, อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี, อาจารย์พิชัย นิรันต์, อาจารย์ปรีชา เถาทอง, อาจารย์ประเทือง เอมเจริญ, อาจารย์ทวี นันทขว้าง, ศิลปินวรฤทธิ์ ฤทธาคนี และอีกหลายท่านที่ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้เอ่ยนามจนหมด ศิลปินที่กล่าวถึงมานี้จะมีโครงสีที่นุ่มนวลและกินใจมาก บางทีดิฉันไปเที่ยวที่ไหนๆ อาจจะเป็นเมืองนอก ก็รู้สึกว่าเอ...ที่นี่ทำไมคุ้นมากเลย ที่แท้เราเห็นในแกลเลอรี่ของเรานี่แหละ(หัวเราะ) เห็นในรูปวาดนั่นเอง ในแกลเลอรี่มันจะมีภาพนั้น ภาพนี้ เราก็จะรู้สึกว่าเราเห็นมาแล้ว และเห็นอยู่เสมอ แม้ว่าจะไม่เคยไปจริงๆก็ตาม

ไฮคลาส: ว่ากันว่า Art Dealer ก็คือสื่อกลางของงานศิลปะกับสังคม ระหว่างติดต่อกับสังคมคือคนซื้อ กับคนสร้างงานศิลปะ คุณว่าอย่างไหนยากง่ายกว่ากัน

     ลูกค้าเขาจะเข้ามาหาดิฉันสะดวกกว่า เพราะที่นี่เรามีผลงานให้เลือกหลากหลาย แต่ถ้าลูกค้าเจาะจงว่าอยากได้งานของศิลปินคนนั้นคนนี้ แล้วเรามี Contact กับศิลปินอยู่ก็สะดวกในการจัดหาผลงานมาให้ ไม่ต้องให้เขาเสียเวลาไปตามหาศิลปินคนนั้นไกลๆ การประสานงานกับศิลปินก็จะสะดวก ในโลกปัจจุบันโทรศัพท์เป็นสิ่งที่สะดวกที่สุดถ้าศิลปินคนนั้นอยู่ต่างจังหวัด ส่วนผู้ที่สนใจงานศิลป็ยิ่งสะดวกใหญ่ เพราะดิฉันสามารถเป็นศูนย์กลางในการติดต่อได้ ลูกค้าจะค่อนข้างสบายใจมากกว่าไปเจอกับศิลปินโดยตรง เพราะคุยกันรู้เรื่องมากกว่า ดิฉันเป็นคนพูดง่าย การติดต่อกับคนเราก็ต้องมีจิตวิทยา ศิลปินเป็นผู้ที่มีเกียรติมาก เขาจะมีอุดมการณ์ของเขา เวลาเขาเอาผลงานมาเสนอเรา ดิฉันจะพูดเรื่องราคาเดี๋ยวเดียวแล้วตกลงเลย แล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น เดี๋ยวทะเลาะกัน(หัวเราะ) ดิฉันจะซื้องานของศิลปินด้วยเงินสด เราจะไม่รับฝากขาย เพราะเคยได้ยินคนที่ทำธุรกิจนี้เขามาเล่าให้ฟังว่า เวลารับฝากขายแล้วเกิดปัญหาเยอะมาก บางที่ศิลปินไม่เข้าใจ ขายได้เขาก็ว่าเราปันส่วนให้เขาน้อย หรือบางทีเขาก็เข้ามาต่อว่า บอกว่าทำไมเอาผลงานของเขาไปวางไว้ข้างหลัง เพราะอย่างนี้จึงขายไม่ได้ ดิฉันก็เลยตัดปัญหาด้วยการซื้อเงินสดเลย เวลามีผลงานมาเสนอ ดิฉันจะดูหลายๆอย่างมาประกอบกัน วัตถุดิบก็สำคัญมาก บางทีงานดี ฝีมือดี แต่ใช้สี หรือผ้าใบคุณภาพต่ำ เราก็รับไว้ไม่ได้ เพราะของพวกนี้จะอยู่ไม่ทน น่าเสียดายถ้าวันหนึ่งมันต้องบุบสลายไปตามกาลเวลา เราจะไม่หลอกลวงลูกค้าด้วยว่าเป็นของดี เพราะเราจะเลือกมาแล้วอย่างดีที่สุด กรอบรูปก็เป็นสิ่งสำคัญ เรามีร้านเจ้าประจำซึ่งไว้วางใจได้ บางครั้งรูปสวยแต่มันไม่เหมาะสมกับกรอบเลย ทำให้ภาพดูด้อยลงไป มันก็ไม่ดี เพราะฉะนั้นเรื่องกรอบก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราจะคำนึงถึง นอกจากนี้เวลาลูกค้าซื้อรูปเราไป ต้องดูด้วยว่ารูปนั้นมันเหมาะกับสถานที่ที่เขาจะนำไปติดหรือเปล่า รูปสวยต้องดูที่มุมมองด้วย เราก็จะให้คำแนะนำเบื้องต้นเขาไป แล้วให้เขาตัดสินใจหรือจัดการเอาเอง เราคงไม่สามารถตามไปติดตั้งให้ได้
พูดตามตรงแล้ว ศิลปินก็เป็นปุถุชน เขาย่อมต้องการเงิน แต่เราต้องเรียนรู้วิธีที่จะให้อย่างมีศิลปะคือให้อย่างไรไม่ให้เขารู้สึกไม่ดีหรือเสียเกียรติ

ไฮคลาส: คุณอยู่กับงานศิลปะชิ้นเยี่ยมมากมายทุกวัน คุณได้แนวคิดอะไรบ้างจากงานศิลปะเหล่านั้น

     ก่อนอื่นขอเล่าความผูกพันที่มีต่องานศิลปะก่อน ดิฉันทำงานเกี่ยวข้องกับแกลเลอรี่มากว่า20 ปี ยอมรับเลยว่าศิลปะเปรียบเสมือนสิ่งเตือนใจ เขาให้ความรู้สึกที่ดีๆ เช่น ความอ่อนโยน สุขุม สดชื่น เบิกบาน นิ่งสงบ มีเกือบทุกๆอารมณ์ ซึ่งมาจากศิลปินที่มีทั้งเทคนิคและวิธีการตลอดจนแนวความคิดที่แตกต่างกัน ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ดิฉันมีความรู้สึกว่าศิลปะเป็นโลกใบเล็กๆ ที่บ่งบอกคุณค่าและพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน แม้จะอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมหรือรูปทรงอะไรก็แล้วแต่ คุณค่าที่ศิลปินแต่ละคนบรรจงสร้างออกมา ดิฉันมองเห็นและศรัทธาในผลงาน ตลอดจนเคารพในคุณค่าและศักดิ์ศรีของผลงานและศิลปินเหล่านั้นเสมอ
ครั้งหนึ่งเกิดอุบิตเหตุขึ้น ในขณะที่ดิฉันถือผลงานจิตรกรรมอยู่ในมือ กำลังจะขนย้าย เกิดมีกระจกในภาพหลุดออกมาแล้วหล่นใส่เท้า เป็นแผลมีเลือดไหลออกมามาก แทนที่ดิฉันจะเผลอทิ้งรูปเขียน แต่กลับดึงรูปเขียนอยู่ในมือแน่นไม่ห่วงว่าตัวเองจะเจ็บปวด ก็แสดงว่าดิฉันรักและห่วงงานศิลปะมากกว่าตัวเอง ทั้งๆที่เป็นคนดูแลเนื้อตัวยิ่งกว่าอะไร ตอนนั้นเลือดออกมากแต่ดิฉันไม่รู้ตัว รู้แต่ว่าเริ่มเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ท่องพุทโธ พุทโธ ไปเรื่อยๆ เพราะตอนที่บวชเนกขัมมบารมีอยู่นั้น เขาสอนว่าความเจ็บปวดนั้น เมื่อมันถึงที่สุดแล้ว มันก็จะไม่เจ็บเพิ่มมากขึ้นไปอีก ดิฉันก็พยายามท่องพุทโธ พุทโธ เพื่อให้ใจเป็นสมาธิ ตอนนั้นร้านยังอยู่ที่โรงแรมดุสิตธานีอยู่ ปรากฎว่าความตกใจทำให้คนที่พามาพาดิฉันมาหาหมอไกลถึงโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์(หัวเราะ) หมอก็บอกว่าเลือดออกมากทำไมไม่ห้ามเลือดมา เดี๋ยวเลือดก็หมดตัวหรอก(หัวเราะ) คงเป็นเพราะตกใจกันหมด ก็เลยพากันลืม รองเท้าคู่ที่ใส่มาก็ลืมอยู่ในรถแท็กซี่ เลือดเต็มไปหมดเลย ทุกวันนี้ก็ยังมีรอยแผลเป็นอยู่ ดิฉันได้สร้างโลกศิลปะของดิฉันไว้ในแกลเลอรี่แห่งนี้ เขาให้ความอบอุ่นแก่ดิฉัน ให้ความสุขและอะไรหลายๆอย่างที่ยากจะถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดได้

ไฮคลาส: คุณนำสาระที่ได้จากงานศิลปะมาประยุกต์ใช้อย่างไร

    ในวาระและโอกาสต่างๆศิลปะเปรียบได้กับเครื่องปรุงรสของชีวิต หวาน มัน เค็ม มีทุกรสชาติ แล้วแต่รสนิยมของผู้เสพ ช่วยยกระดับจิตใจให้เกิดความนิ่งสงบละเอียดอ่อน สุขุมมากยิ่งขึ้น ถ้าเรามีผลงานศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นจิตรกรรม ประติมากรรม แขวนไว้บนผนังของห้อง ในบ้านของเรา งานศิลปะจะช่วยปรับชีวิตให้เรากลายเป็นคนมีรสนิยมสูงขึ้น แม้แต่ห้องซึ่งเคยขาดความเป็นระเบียบ ก็จะมีการปรับปรุงตกแต่งให้ดูดีขึ้น รวมถึงการแต่งเนื้อแต่งตัวก็จะมีการเลือกสรรมากขึ้น จากที่เป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวก็จะกลายเป็นคนเข้าสังคม รับแขก เพราะเราอยากจะโชว์บ้านเราซึ่งมีงานศิลปะแขวนไว้ อยากให้คนอื่นชื่นชมในฐานะและรสนิยมของเรา ชีวิตจะมีสีสันมากยิ่งขึ้น เพราะศิลปะก็จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

ไฮคลาส: Art Dealer ที่ดีควรมีคุณสมบัติอย่างไร

    คุณสมบัติของคนที่จะเข้ามาดำเนินธุรกิจ Art Dealer คือต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวหรือมีอุดมการณ์ชัดเจน มีความสามารถและเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่างๆได้อย่างรวดเร็ว แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชอบพัฒนาและปรับปรุงการดำเนินธุรกิจ มีคุณธรรมจริยธรรม และความรักชื่นชมในวิชาชีพ ที่สำคัญที่สุดคือ ต้องเป็นผู้ที่พร้อมจะอนุรักษ์ศิลปะของศิลปินไทย รวมถึงสนับสนุนนักเขียนไทย และสามารถใช้ศิลปะในสาขาของตนในการให้บริการแก่สังคมบ้าง สำหรับตัวเอง ปัจจุบันเดินทางมาได้ประมาณ 80%ของความฝันที่วาดเอาไว้ Art Dealer มีอิทธิพลต่อวงการศิลปะและสังคมโดยรวมอย่างมาก เริ่มตั้งแต่ดำรงฐานะเป็นผู้นำศิลปะมาสู่สังคม ศิลปินสร้างศิลปะก็จริงอยู่ แต่บางครั้งการนำงานศิลปะอันทรงคุณค่าเหล่านั้นมาสู่สายตาสังคมต้องอาศัยเราเป็นสื่อกลาง นำผลงานของศิลปินมาแต่งเพิ่มเติมค่า ให้มีคุณค่าที่เป็นรูปธรรมขึ้น นำผลงานเหล่านั้นตีพิมพ์ลงในหนังสือหรือสูจิบัตร ที่รวบรวมเป็นเล่มๆได้มาตรฐาน  ซึ่งต้องยอมรับว่าในด้านนี้เราสามารถสร้างมูลค่าของงานศิลปะให้สาธารณชนรับรู้ได้เกือบจะเท่าเทียมกัน ไม่ว่าคุณจะสนใจศิลปะมากแค่ไหน มีความรู้ทางศิลปะในขั้นใด คุณก็จะสามารถเข้าใจคุณค่าของงานศิลปะนั้นเกือบจะเท่าๆกัน ผ่านมูลค่าที่เราพยายามสร้างขึ้น จากพื้นฐานของงานศิลปะนั้นๆ การนำผลงานของศิลปินออกโทรทัศน์ก็มีส่วนในการเผยแพร่ที่ได้ผล เพราะเป็นสื่อชนิดที่ต้องใช้การดูด้วยตา และไม่ต้องหอบสังขารไปดูนอกบ้าน ดูในบ้านหรือที่ทำงานก็สามารถดูได้อย่างสะดวก ยิ่งถ้า Art Dealer มีอำนาจในวงการเงิน มีทุนทรัพย์ในการส่งเสริมศิลปินมากเพียงพอก็จะทำให้มีอำนาจในการต่อรองสูงขึ้น ศิลปินสบายใจ งานที่เขาทำออกมาก็จะมีคุณภาพ

ไฮคลาส: เม็ดเงินหมุนเวียนของธุรกิจด้านศิลปะในประเทศไทย

    ดิฉันประมาณการณ์โดยใช้หลักอัตราค่าขึ้นลงของดอกเบี้ย ธนาคาร และหุ้น นักสะสมงานส่วนมากเขาจะเอาดอกผลมาเป็นปัจจัยสำหรับใช้จ่าย โดยเฉพาะในกรณีที่รูปเขียนมีราคาสูงมากๆ ปกติเขาจะไม่เอาเงินคงคลังออกมาจับจ่ายเลย ในกรณีของลูกค้าชาวต่างชาติ ซึ่งเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพื่อการท่องเที่ยว พักผ่อน สำหรับผู้ที่มีรสนิยมทางศิลปะเขาก็ต้องการผลงานศิลปะที่ดีๆ กลับไป โดยการเลือกสรรศิลปินที่มีชื่อเสียง ส่วนลูกค้ากลุ่มรองๆลงมาก็มักเลือกซื้องานศิลปะที่มีราคาไม่สูงมากนักกลับไปเป็นของฝากของที่ระลึก เพราะนั้นแกลเลอรี่ของเราจึงมีงานศิลปะให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ลูกค้าจะสมหวังกลับไปเกือบทั้งหมด สรุปแล้วเม็ดเงินที่หมุนเวียนอยู่ในวงการแกลเลอรี่ จึงประมาณการณ์ยากมากว่าเดือนหนึ่งๆ เป็นจำนวนเงินเท่าไร ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยว เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ และที่สำคัญที่สุดคือเหตุการณ์บ้านเมือง

ไฮคลาส: การพัฒนาของธุรกิจ Art Dealer ที่ผ่านมาเป็นอย่างไรและจะไปต่อในรูปแบบไหน

    ธุรกิจ Art Dealer ในประเทศไทยเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 20 กว่าปีที่แล้ว แต่ที่ผ่านมากการดำเนินการทางด้านนี้มักขาดศักยภาพ ทั้งในการจัดการและกำลังเงิน เพราะเรามักปล่อยให้ศิลปินเป็นผู้จัดการทั้งหมด ตั้งแต่สร้างผลงาน ไปจนนำเสนอผลงาน ซึ่งทำให้เกิดระบบที่ขาดโครงสร้างการจัดการที่สมบูรณ์แบบ Art Dealer มืออาชีพจะต้องปล่อยให้ศิลปินเป็นผู้สร้างผลงานแต่เพียงอย่างเดียว อย่างอื่นเราต้องจัดการให้ทั้งหมด ตั้งแต่เริ่มหาอุปกรณ์ เครื่องไม้เครื่องมือในการสร้างสรรค์ผลงาน การจัดหาตลาดรองรับ หาแกลเลอรี่หรือผู้ซื้องาน การเจรจาต่อรอง การโฆษณาศิลปินในสังกัด เพราะฉะนั้น Art Dealer ที่จะประสบความสำเร็จในอาชีพได้จึงต้องเป็นผู้ที่ประกอบไปด้วยความซื่อสัตย์ มีวาจาอ่อนโยน มีความรู้ทั้งทางด้านศิลปะ ปรัชญา และอื่นๆ สามารถโน้มน้าวจิตใจผู้ซื้องานได้ รวมถึงมัดใจศิลปินและผู้ที่จะต้องติดต่อทางธุรกิจด้วยกันได้ อันที่จริงในปัจจุบันนี้ Art Dealer มืออาชีพจริงๆเรายังมีน้อยอยู่ เพราะขาดปัจจัยพื้นฐานที่ช่วยส่งเสริม ทั้งเรื่องของทุน สถานที่ และContact สิ่งหนึ่งที่วงการ Art Dealer ในเมืองไทยขาดแคลนก็คือองค์ความรู้ที่ชัดเจนทางด้านศิลปะ เพราะฉะนั้นประการแรกเราต้องมีพื้นฐานความเข้าใจทางด้านศิลปะเพียงพอเสียก่อน อาจจะมีเพิ่มเติมทางด้านประวัติศาสตร์บ้าง ปรัชญาบ้าง สามารถแยกแยะคุณค่าของศิลปินและศิลปะในลักษณะต่างๆเป็น ซึ่งลักษณะเช่นนี้ Art Dealer ของบ้านเรายังขาดไป แต่สำหรับในต่างประเทศถือเป็นคุณสมบัติที่เขาให้ความสำคัญมากๆ เขาสามารถนำผลงานของศิลปินไปติดตั้งในพิพิธภัณฑ์สำคัญๆได้ สามารถนำผลงานของศิลปินมาจัดประมูลหรือเข้าประมูลได้ และสามารถยกระดับคุณค่าของผลงานนั้นๆได้ ผลงานของศิลผปินบางคนไม่เคยผ่านการประกวดหรือได้รับรางวัลมาก่อนเลย แต่ Art Dealer ของเขาสามารถจัดการเชิดชูงานเหล่านั้นได้อย่างน่าชื่นชม

ไฮคลาส: แวดวงศิลปะในสายตาสังคมผ่านทัศนะของ Art Dealer มืออาชีพ

     ในสังคมปัจจุบัน การศึกษาวิชาศิลปะมีมากขึ้น ทำให้เกิดศิลปินและผู้ที่มีความรู้ทางศิลปะมากขึ้น มีการแสดงผลงานศิลปะอยู่เสมอ ทั้งเดี่ยวและกลุ่ม มีสื่อทางด้านศิลปะที่คนสามารถเข้าถึงได้มากขึ้นส่งผลให้สภาพสังคมส่วนหนึ่งเกิดความตื่นตัว
เพราะฉะนั้นมันจึงเกิดกระบวนการแทรกซึมบทบาทของศิลปะเข้าไปสู่ผู้คน  ทำให้คนที่ไม่เคยศึกษาหรือสนใจงานพวกนี้เลยกลับมาให้ความสนใจมากยิ่งขึ้น ตัวดิฉันเองคิดว่าสิ่งเหล่านี้มีส่วนทำให้สังคมเริ่มยกระดับสูงขึ้น มีคนกล้าที่จะยอมเสียเงินจำนวนมากๆ เพื่อซื้องานศิลปะกลับไปติดตั้งไว้ที่บ้าน ดิฉันเป็นทั้งนักสะสมงานศิลปะและผู้จำหน่ายผลงานศิลปะ จึงพอจะมองเห็นและแยกออกว่า เฉพาะสังคมระดับสูงและกลางเท่านั้นที่กล้าซื้อผลงานศิลปะราคาสูงๆได้ และพวกเขาเหล่านั้นเองที่ยอมสละเวลาเพื่อไปดูผลงานศิลปะตามหอศิลป์ต่างๆ ระดับรองลงมาอันที่จริงก็มีบ้างแต่เป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อย ส่วนงานที่ศิลปินสร้างสรรค์ออกมา ก็มีการพัฒนามากขึ้น ทั้งในด้านเทคนิควิธีการที่ทันยุคทันสมัย ยกตัวอย่างว่า สมัยก่อนศิลปินจะเขียนภาพด้วยการใช้สีฝุ่น บนกระดานหรือบนกระดาษสาที่ปูบนผ้าใบอีกที  แต่ปัจจุบันสิ่งเหล่านี้กำลังจะหมดไป เพราะเวลาสอนให้พวกเรารู้ว่าอายุของวัสดุจะก่อให้เกิดปัญหามากๆกับชิ้นงาน เช่น เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ พื้นผิวอาจมีอาการโป่งพอง หลุดร่อน เป็นต้น 
     ในด้านความคิดนั้น จะเน้นไปทางเรื่องของขนบธรรมเนียมประเพณี โดยเฉพาะด้านศาสนาพุทธเสียส่วนมาก แต่ลูกค้าฝรั่งบางคนก็ไม่ชอบให้มีภาพพระพุทธรูปอยู่ในชิ้นงาน เอาโน้น เอานี่ออกบ้างเป็นคนๆไป แต่ก็เป็นปัญหาเพียงเล็กๆน้อยๆในสายตาของเรา ดิฉันเป็นคนชอบศิลปะไทยมากกว่าสากล เพราะดิฉันเป็นชาวพุทธ และได้รับการเลี้ยงดูมาแบบไทยๆ

ไฮคลาส: ลูกค้ารายใหญ่ของสมบัติเพิ่มพูนแกลเลอรี่คือใครบ้าง

    อันที่จริงลูกค้าของเรามีทั้งคนที่ซื้อไปเพื่อสะสมด้วยความรักความชอบ กับที่มาหาซื้อไปเก็บไว้เพื่อเก็งกำไร ข้อนี้ดิฉันขออนุญาตไม่เอยนามของลูกค้า เพราะเดี๋ยวจะไม่ทั่วถึง เขาจะน้อยใจ (หัวเราะ) สัดส่วนของลูกค้าที่เข้ามาเลือกซื้อผลงานส่วนมากที่ซื้อไปจะเป็นเพราะเขามีสตางค์(หัวเราะ) และชื่นชอบงานศิลปะ เอาไปเก็บไว้เพื่อประดับบารมี ส่วนนี้จะมีจำนวนค่อนข้างมาก ส่วนที่ซื้อไปเพื่อเก็งกำไรก็มีบ้างแต่เป็นส่วนน้อยลงมา หลายคนที่เริ่มต้นรักงานศิลปะและยอมลงทุนซื้องานศิลปะชิ้นแรกที่แกลเลอรี่ของดิฉัน หลายคนที่แวะเวียนมาแล้วคุยกันจนกระทั่งกลายเป็นเพื่อนกัน แต่ก็มีหลายคนอีกเหมือนกันที่กลายเป็นนักการเมืองแล้วหายหน้าไป เพราะเวลาของพวกเขาเหล่านั้นไม่มีมากพอที่จะกลับมาเยี่ยมเยือนเรา ก็ต้องเห็นใจเขา การที่มีบุคคลมั่งคั่งทางการเงินและยศฐาบรรดาศักดิ์เข้ามาที่แกลเลอรี่ของดิฉันและเป็นที่คุ้นเคยกันก็มีส่วนทำให้แกลเลอรี่ของดิฉันมีความมั่นคงและได้รับความเชื่อมั่น พูดง่ายๆคือ แกลเลอรี่เรารวยเพื่อนที่มีระดับ เกียรติและฐานะในวงการศิลปะและสังคม ทำให้เรามีระดับที่สูงขึ้น มีเกียรติในวงสังคม มีเครดิตในวงการต่างๆ แม้กระทั่งการเงินการธนาคารก็ยอมรับ

ไฮคลาส: ศิลปะร่วมสมัยในสายตาของสมบัติเพิ่มพูนแกลเลอรี่คืออะไร

   ศิลปะร่วมสมัยในสายตาของดิฉันก็คือ งานที่ศิลปินรังสรรค์ออกมาอย่างมีคุณค่าทั้งในด้านเนื้อหาและเรื่องราวที่สอดคล้องกับความเป็นสังคมในโลกใบเดียวกัน มีความเป็นสากลในการแสดงออกที่โดดเด่น และชัดเจนในความเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของความเป็นไทย ซึ่งศิลปะร่วมสมัยนี้ก็มีคุณค่าและความโดดเด่นเฉพาะตัว ตามแต่ศิลปินจะรังสรรค์ขึ้นมาตามทัศนคติและความเป็นปัจเจก มีเนื้อหาสาระที่เข้มข้น ตามกำลังความเห็นของศิลปินแต่ละคน ส่วนศิลปะในแนวประเพณีก็มีคุณค่าโดยเฉพาะการแสดงออกที่สะท้อนจิตวิญณาณของขนบนิยมประเพณีของเชื้อชาติ ในแง่มุมใดแง่มุมหนึ่ง เพื่อสะท้อนชีวิตและกลิ่นอายของความเป็นไทยออกมาสู่สังคมในโลกปัจจุบัน สะท้อนความคิดในสายเลือดของความเป็นไทยให้คงอยู่ไว้เท่านานในสายตาของสังคมมักมองว่า Art Dealer มักร่ำรวยในขณะที่ศิลปินผู้สร้างานยังยากจนอยู่ ข้อนี้ดิฉันคิดว่าขึ้นอยู่กับตัวศิลปินเองและผลงาน
ถ้าศิลปินผู้นั้นมีผลงานที่ดี สร้างสรรค์ผลงานอย่างสม่ำเสมอ และผลงานมีคุณค่า ศิลปินคนนั้นก็จะสบายเพราะ Art Dealer จะต้องเอาใจและซื้อผลงานในราคาที่เขาพอใจ เรียกว่าเดินกันคนละครึ่งทาง สบายใจกันทั้งสองฝ่าย แต่ศิลปินประเภทนี้มีน้อย ส่วนศิลปินที่ทำงานตามตลาดจะพออยู่ได้ แล้วแต่ความขยัน ทำมากเขาก็ได้มาก ขี้เกียจเขาก็จน แต่ต้องไม่ลืมว่า ศิลปินที่มีมูลค่าราคาของผลงานสูง ต้องเริ่มต้นจากการที่ Art Dealer เป็นคนปูรากฐานของราคาให้ พูดง่ายๆคือยกระดับมูลค่าของผลงานและราคา ให้สูงขึ้น แต่ก็ต้องเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงและมีผลงานที่มีความโดดเด่นเพียงพอ เพราะฉะนั้นบางครั้งดิฉันจึงต้องยอมลงทุนซื้องานในราคาแพงเข้ามาเก็บเอาไว้ในแกลเลอรี่หลายๆปี เงินที่ลงทุนไปก็ต้องยอมเสียค่าดอกเบี้ย ดังนั้น ในกรณีอย่างนี้จะพูดว่าแกลเลอรี่รวยเอาๆ ไม่ได้(หัวเราะ) แกลเลอรี่อยู่ได้เพราะงานตลาด ที่บางครั้งบริษัท ร้านค้าใหญ่ หรือโรงแรมซื้อไปเป็นจำนวนมากๆ เราจะได้จากตรงนั้นมากกว่า สรุปแล้วจะพูดจากใจจริงว่า แกลเลอรี่ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีส่วนผลักดันให้ศิลปินได้ลืมตาอ้าปาก ในขณะที่แกลเลอรี่เองก็ยังต้องสู้และลงทุนเพื่อศิลปินอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าพูดให้ถูกคือน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่ามากกว่า

สมบัติเพิ่มพูนแกลเลอรี่ 

    แกลเลอรี่เอกชนมาตรฐานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ได้รับความไว้วางใจจากศิลปินระดับชาติมากมายให้จัดแสดงผลงานชิ้นสำคัญ  อาทิ อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี, อาจารย์พิชัย นิรันต์, อาจารย์อังคาร กัลยาณพงศ์, อาจารย์วรฤทธิ์ ฤทธาคนี, อาจารย์ปรีชา เถาทอง, อาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์, อาจารย์ประเทือง เอมเจริญ, อาจารย์สวัสดิ์ ตันติสุข, อาจารย์ธงชัย ศรีสุขประเสริฐ, อาจารย์สุรสิทธิ์ เสาว์คง, อาจารย์ปรีชา อรชุนกะ, อาจารย์เฉลิม นาคีรักษ์, อาจารย์ศรีวรรณ เจนหัตถการกิจ, อาจารย์ปริญญา ตันติสุข,อาจารย์ประหยัด พงษ์ดำ, อาจารย์สุชาติ วงษ์ทอง, อาจารย์นิพนธ์ ผริตโกมล, อาจารย์สันต์ สารากรบริรักษ์, อาจารย์นพรัตน์ ลิวิสิทธิ์, ปทมเสศ ลิวิสิทธิ์, ศรีพงษ์ ลิวิสิทธิ์, เพชริน ลิวิสิทธิ์, ประยงค์ แซ่เตีย, อภิรักษ์ อาชวพิเชฐธรรม เป็นต้น

    ด้วยเนื้อที่กว้างขวางที่สามารถจัดแสดงผลงานศิลปะทั้งจิตรกรรมและประติมากรรมได้มากกว่า 10,000 ชิ้น พร้อมที่จอดรถที่รองรับได้มากถึง 30 คัน การบริการที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพและไมตรี ทำให้สมบัติเพิ่มพูนแกลเลอรี่ได้รับความไว้วางใจจากคอศิลปะขนานแท้หลากชาติหลายภาษาและศิลปินทั่วฟ้าเมืองไทยและด้วยน้ำใจอันอารีของคุณสมบัติ วัฒนไทย กรรมการผู้จัดการสมบัติเพิ่มพูนแกลเลอรี่ จึงยินดีต้อนรับผู้สนใจในงานศิลปะทุกท่านที่หมายใจจะได้ไปชื่นชมผลงานชิ้นเยี่ยมของศิลปินชั้นแนวหน้าของเมืองไทยที่รวบรวมไว้ที่นี่ 

สมบัติเพิ่มพูนแกลเลอรี่
12 สุขุมวิทซอย 1(รื่นฤดี) แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนากรุงเทพฯ 10110
โทร.(662) 254 6040-6
โทรสาร (662) 254 6048
เปิดทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ      


Credit: Hi-Class Magazine Company Limited