เมื่อวันที่ 4 ก.พ.58 ที่ผ่านมาผู้เขียนได้รับเชิญให้ไปร่วมงานแสดงศิลปะไทยประเพณีร่วมสมัยThaiNeotraditional Art จัดที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย (MOCA)
ซึ่งเป็นงานแสดงผลงาน
ของ6ศิลปินไทยประเพณีร่วมสมัย 6ท่าน ซึ่งเป็นผู้ร่วมรังสรรค์ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดพุทธปทีป
กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้แก่
ของ6ศิลปินไทยประเพณีร่วมสมัย 6ท่าน ซึ่งเป็นผู้ร่วมรังสรรค์ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดพุทธปทีป
กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้แก่
- อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ ปี 2554
- อาจารย์ปัญญา วิจินธนสาร ศิลปินแห่งชาติคนล่าสุดปี 2557
- อาจารย์เริงศักดิ์บุณยวาณิชย์กุล
- อาจารย์สมภพ บุตราช
- อาจารย์ธงชัย ศรีสุขประเสริฐ
- อาจารย์อลงกรณ์ หล่อวัฒนา
บรรยากาศของงานเป็นยังไง
อลังการแค่ไหน ผู้เขียนเก็บภาพถ่ายมาฝากนะคะ
Highlight ของงานอยู่ที่ช่วงเวลา16.00น. ที่ทางMOCA ได้รับเกียรติจากท่านอาจารย์
ดร.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ
สาขาทัศนศิลป์ประจำปี 2554 บรรยายให้แก่ผู้ร่วมงานได้รับฟังในหัวข้อ
“มูลค่าเพิ่มของศิลปะและการลงทุน”
ซึ่งเนื้อหาการบรรยายนี้ได้เปิดโลกทัศน์และมุมมองของผู้เขียนที่มีต่อศิลปะไปตลอดกาล
เพราะในยุคปัจจุบัน ศิลปะมิได้เพียงทำหน้าที่ให้สุนทรียะแก่ผู้เสพผลงานและช่วยจรรโลงจิตใจสร้างความสุขแก่ศิลปินผู้สร้างผลงานและผู้ชื่นชมศิลปะอีกต่อไปเท่านั้น หากแต่ศิลปะได้กลายเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่มและเป็นการลงทุนทางเลือกของนักลงทุนและนักสะสมศิลปะ ในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งtrendการลงทุนในศิลปะนี้กำลังได้รับความนิยมและน่าจับตามองอย่างยิ่งในต่างประเทศ
เรียกได้ว่าเม็ดเงินหมุนเวียนแต่ละปีนั้นมหาศาลจนน่าตกใจแต่สำหรับประเทศไทย ประชาชนยังไม่ได้ถูกส่งเสริมให้เสพงานศิลปะมากเท่าต่างประเทศทำให้วงการศิลปะไม่คึกคักเท่าที่ควรและศิลปินผู้สร้างงานยังขาดการสนับสนุนจนในที่สุดศิลปินมากมายต้องหยุดสร้างผลงานไปในที่สุด
เราลองมาฟังกันดูนะคะว่าท่านอาจารย์เฉลิมชัยท่านให้แนวคิดและมุมมองต่อ“มูลค่าเพิ่มของศิลปะและการลงทุน” ไว้อย่างไรบ้าง รับฟังได้จากคลิปด้านล่างเลยนะคะ
Artist
Talk | Thai Neotraditional โดยเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ | MOCA
BANGKOK
https://www.youtube.com/watch?v=HfdP1n5JeGA#t=24
https://www.youtube.com/watch?v=HfdP1n5JeGA#t=24
โดยผู้เขียนขออนุญาตสรุปประเด็นที่น่าสนใจโดยสังเขป
ดังนี้ นะคะ
ให้ดูจากประวัติการได้รับรางวัล ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนและแม้ศิลปินจะเลิกสร้างผลงานในที่สุดผลงานก็ยังราคาขึ้นในอนาคตรุ่นลูกหลานของเราได้
การทุ่มเทของศิลปิน ประวัติชีวิตที่น่าสนใจ การพัฒนาของการแสดงรูปของศิลปินว่าราคาผลงานแพงขึ้นหรือไม่
2.ผู้ลงทุนควรชอบงานหลายแนวและเข้าใจศิลปะหลายแนว
3.ให้เริ่มเก็บผลงานแท้ของศิลปินที่เริ่มมีชื่อเสียงก่อนเช่น
ผลงานราคาหลักหมื่นซึ่งเป็นการช่วยศิลปินให้อยู่รอดและสร้างงานดีๆต่อไปอีกและแม้ว่าในอนาคตเราจะไม่สามารถซื้องานที่แพงขึ้นของศิลปินนั้นได้อีก
ผลงานศิลปะที่มีเราเคยซื้อไว้แล้วนั้นก็อาจราคาแพงขึ้นได้และการซื้อรูป
ตอนแพงยากกว่าซื้อตอนราคาถูก
ให้เราลองเริ่มเก็งกำไรโดยอาจลงทุน2-3 แสนบาท ขนาดเล็กหรือใหญ่ก็ได้ การขอซื้อรูปราคาไม่แพงจากศิลปินที่ได้รับรางวัล
เพื่อให้ศิลปินเริ่มรู้จักเราก่อน แล้วให้เราเฝ้าดูปีต่อปีว่ามีแนวโน้มมูลค่าเพิ่มหรือไม่แล้วค่อยไล่ตามซื้อผลงานเพิ่ม
ผลงานของศิลปินท่านไหนไม่มีแนวโน้มเพิ่มมูลค่าก็ข้ามไปแล้วไปเก็งการลงทุนกับศิลปินอื่นๆต่อ
และหากศิลปินที่เราตามซื้อผลงานแล้วมีมูลค่าการลงทุนเพิ่มก็จะขายผลงานให้เราเพิ่มในราคาที่ไม่แพง
อย่างไรก็ตาม
แม้การลงทุนนั้นไม่เพิ่มมูลค่า การสะสมผลงานศิลปะที่เราชื่นชอบก็ช่วยให้เรามีความสุข
4.ช่วงเริ่มต้นศิลปินเองต้องขายผลงานราคาไม่สูงกระจายไปยังผู้ซื้อให้เยอะๆก่อนแล้วค่อยทยอยปรับราคาขึ้น
5. ศิลปินต้องรู้จักจังหวะ
ไว้ตัว และรู้จักหยุดเมื่อขายภาพได้ในระดับหนึ่ง เมื่อคนถามจะขอซื้อต้องหยุดขายแล้วบอกจะขอเก็บก่อนบ้าง
อย่านำผลงานเอามาโชว์หมด ให้เว้นระยะเวลาในการขายและขายแพงขึ้นและเก็บตัวสร้างผลงานต่อศิลปินต้องหลีกเลี่ยงการขายผลงานราคาแพงมากๆในชิ้นแรกแล้วลดราคาชิ้นที่2ลงมากๆ
6. ผู้ลงทุนงานศิลปะต้องดูการตลาดของศิลปินนั้นๆด้วย
เพราะศิลปินที่มีระบบการตลาดที่ดีจะช่วยให้การลงทุนของเรามีมูลค่าเพิ่ม
8. ระวังอย่าฟังartcollector ใส่ร้ายศิลปิน เราต้องติดตามดูเองว่าศิลปินคนนั้นๆมีความมุ่งมั่นในการสร้างผลงานจริงหรือไม่และให้ผู้ลงทุนแยกแยะระหว่างนิสัยส่วนตัวของศิลปินกับผลงานของศิลปิน
9. ศิลปินไทยมักมีปัญหาด้านการตลาด
จึงต้องหมั่นฝึกการนำเสนอกับลูกค้าหลายๆระดับและการันตีชื่อเสียงเราในอนาคตบ่อยๆ ถ้าศิลปินชัดเจนพอในความมุ่งมั่น
คนฉลาดในการลงทุนจะเชื่อแล้วซื้อผลงาน
10. การตลาดแนวอาจารย์เฉลิมชัยจะเน้นขายผู้ซื้อที่พอจะมีฐานะ
มากกว่าคนรวย เพื่อช่วยให้ผู้ซื้อนั้นๆรวยขึ้น และความมั่นใจในผลงานของตัวเอง
จึงทำให้สามารถเน้นขายที่ลูกค้าระดับล่างก่อนดีกว่า เพราะผู้ซื้อที่รวยยังไงก็กลับมาซื้ออยู่แล้วหากศิลปินโด่งดังทั้งนี้เพื่ออวดสถานะทางสังคม
(** Copy Right Content by BAAN by JAI )
เป็นยังไงกันบ้างคะ เรียกได้ว่าเนื้อหาจุใจและท่านอาจารย์ตีแผ่ทุกกลยุทธ์ทั้งสำหรับผู้ลงทุนในงานศิลปะและเทคนิคการตลาดสำหรับศิลปินผู้สร้างผลงานกันอย่างหมดเปลือกจริงๆ ผู้เขียนหวังว่าคงจะพอเป็นแนวทางให้เพื่อนๆพิจารณาเลือกลงทุนในศิลปะกันได้บ้างนะคะ....ขอให้รวยๆกันทุกคนนะคะ
No comments:
Post a Comment